ท่ามกลางบริบทของโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว รวมถึงความท้าทายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงทศวรรษใหม่ ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ สถานการณ์ทางการเมือง รวมถึงสภาพแวดล้อมโลก องค์ประกอบเหล่านี้ล้วนส่งผลกระทบต่อการพัฒนาการเติบโตทางเศรษฐกิจและชีวิตความเป็นอยู่ของประชากรในแต่ละประเทศ โดยรายงานของธนาคารโลกฉบับใหม่ ในปี พ.ศ. 2564 ระบุว่า “นวัตกรรม” มีความจำเป็น อย่างยิ่งต่อการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจและสร้างการิพัฒนาในกลุ่มประเทศรายได้ปานกลางในภูมิภาคเอเชียตะวันออก ดังนั้นการกระตุ้นให้เกิดการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีจึงถูกจัดให้เป็นวาระแห่งชาติที่ประเทศไทยเองต้องให้ความสำคัญเป็นอันดับต้น ๆ
งานสัมมนา “อนาคตประเทศไทย นวัตกรรมขับเคลื่อนประเทศ” ซึ่งเป็นหนึ่งในความร่วมมือสำคัญของภาครัฐ ภาคเอกชน และสื่อมวลชน ในการหารือเกี่ยวกับทิศทางการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีของประเทศ ดร.ชวพล จริยาวิโรจน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้นำด้านโครงสร้างพื้นฐานเทคโนโลยีและนวัตกรรมไอซีทีในระดับโลกได้ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของ “เทคโนโลยีดิจิทัล” ต่อประเทศว่า “ในปัจจุบันเราไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าเทคโนโลยีดิจิทัลมีบทบาทสำคัญในการ “สร้างผลกระทบในวงกว้าง (Disrupt)” ให้กับทั้งภาคธุรกิจ ภาคอุตสาหกรรม และภาคประชาชนในแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน เทคโนโลยีดิจิทัลจะกลายเป็นหัวใจสำคัญในการสร้างความสามารถทางการแข่งขันและโอกาสให้กับทุกภาคส่วนและมีผลกับทุกภาคส่วนในอีโคซิสเต็ม สำหรับภาคธุรกิจ เทคโนโลยีดิจิทัลจะช่วยลดต้นทุนในการผลิต เร่งความเร็วในการนำบริการออกสู่ตลาด นำไปสู่ความสามารถในการขยายตลาด เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงสินค้าและบริการได้อย่างสะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น นอกจากนี้ สำหรับภาคประชาชน เทคโนโลยีดิจิทัลยังจะส่งมอบประสบการณ์ใหม่ ๆ เพื่อให้คนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และจะนำไปสู่การสร้างความมั่นคงให้แก่ประเทศ ทั้งในด้านเศรษฐกิจสังคม และความสุขของประชากร"
ดร. ชวพล ยังได้กล่าวถึงหนึ่งในเทรนด์เทคโนโลยีล่าสุดที่น่าจับตามอง นั่นคือ “ดิจิทัลทวิน” ซึ่งจะเชื่อมโยงกับทุกเทคโนโลยีในอนาคตอันใกล้ “ในอีก 7-10 ปีข้างหน้า เทคโนโลยีดิจิทัลทวินจะเกี่ยวข้องกับทุกสิ่ง ซึ่งรวมถึงนวัตกรรมเทคโนโลยีดิจิทัลอัจฉริยะ ที่ประกอบด้วย 3 องค์ประกอบ (Layer) หลัก ดังนี้
1. เทคโนโลยีอุปกรณ์สื่อสาร (Device Technology) – การจะสร้างดิจิทัลทวินในเมืองอัจฉริยะให้เกิดขึ้นได้นั้น อุปกรณ์ต่าง ๆ จะต้องมีความฉลาด สามารถสื่อสารด้วยการรับ-ส่งข้อมูลกับผู้ใช้ และระหว่างอุปกรณ์กันเองได้ตลอดเวลา และข้อมูลจะต้องถูกเก็บรวบรวมอยู่ตรงกลาง นอกจากนั้นข้อมูลจะต้องถูกสื่อสารระหว่างมนุษย์ด้วยกัน รวมไปถึงผู้ให้บริการโครงข่าย เพื่อขับเคลื่อนอีโคซิสเต็มให้เติบโตและพัฒนาแบบบูรณาการ
2. เทคโนโลยีการเชื่อมต่อ หรือ Connectivity เพื่อให้เกิดการรับ-ส่งข้อมูลในความเร็วสูงและมีค่าความหน่วง (Latency) ที่ต่ำมาก ตัวอย่างที่ดีคือ เทคโนโลยี5G
3. เทคโนโลยีอัจฉริยะ หรือ Intelligence โดยในปัจจุบันมีเทคโนโลยีอัจฉริยะมากมาย ได้แก่ AI IoT และ Cloud ซึ่งเปิดกว้างให้ภาคอุตสาหกรรมและผู้เชี่ยวชาญในด้านต่าง ๆ สามารถนำไปต่อยอดเพื่อพัฒนาเมืองและประเทศในด้านต่างๆ ได้
ดร. ชวพล ยังได้ยกตัวอย่างถึงการประยุกต์ใช้อุปกรณ์สื่อสารร่วมกับดิจิทัลทวินในเมืองอัจฉริยะผ่าน “กล้องวงจรปิด” หรือ CCTV ซึ่งหากเราทำให้เป็นกล้องอัจฉริยะ เราจะสามารถใช้กล้องวิดีโอตรวจสอบเมือง ตรวจจับพฤติกรรม ช่วยบริหารจัดการการจราจร รวมไปถึงการจัดการความเป็นระเบียบเรียบร้อยบนทางเท้าและที่จอดรถ ซึ่งจะทำให้เมืองดูปลอดภัยและน่าอยู่มากขึ้น นอกจากนี้ นวัตกรรมและเทคโนโลยีทุกอย่างในอนาคตจะเกี่ยวข้องกับเรื่องความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม นำไปสู่การดำเนินธุรกิจที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม รวมทั้งการพัฒนาอย่างยั่งยืนในอนาคต และยังเกี่ยวข้องกับการพลิกโฉมด้านสาธารณสุข ให้เปลี่ยนจากการเน้นเรื่องการรักษาทางการแพทย์ มาเน้นเรื่องการมีสุขภาวะที่ดี (Well-being) ของประชาชนมากขึ้นด้วย
นพ.สุนทร ศรีทา ผู้บริหารและอำนวยการ โรงพยาบาลรวมใจรักษ์ ได้ให้ข้อมูลต่อยอดถึงเรื่องนวัตกรรมเทคโนโลยีดิจิทัล ซึ่งกำลังเป็นที่พูดถึงในวงการสาธารณสุขไทยในขณะนี้ว่า “ในปัจจุบันมีนวัตกรรมและเทคโนโลยีอัจฉริยะมากมายที่ได้รับการนำมาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ เช่น การใช้ AI เพื่อช่วยตรวจวินิจฉัยและรักษาโรคและแนะนำการจ่ายยาให้คนไข้, IoMT (Internet of Medical Things) ซึ่งเชื่อมต่ออุปกรณ์เครื่องมือแพทย์เข้าด้วยกัน ทำให้เกิดการสื่อสารรับ-ส่งข้อมูลระหว่างอุปกรณ์และเก็บข้อมูลการรักษาไว้ที่ส่วนกลาง รวมไปถึงเทคโนโลยี Teleconsultation และ Telemedicine ซึ่งสามารถวินิจฉัยโรค ติดตามอาการ และให้คำแนะนำคนไข้ทางไกล นอกจากนั้นยังมีเทคโนโลยี VR and AR Mixed Reality ซึ่งเป็นระบบหุ่นยนต์ที่สามารถนำมาพัฒนาการเรียนรู้เรื่องการดูแลรักษาคนไข้ได้มากยิ่งขึ้น ทั้งหมดนี้ทำให้เกิดการยกระดับการแพทย์และการสาธารณสุขของไทยให้ประชาชนเข้าถึงได้มากขึ้น เพิ่มความสะดวกและครอบคลุมพื้นที่ในชนบท ทำให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น”
ด้านนางสุวรรณี สิงห์ฤาเดช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ซีเมนส์ ประเทศไทย ได้กล่าวเสริมในเรื่องของการพัฒนาประเทศโดยมีการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนว่า “เทคโนโลยีสีเขียว” จะทำให้เกิดการเปลี่ยนผ่าน จากพลังงานฟอสซิลมาเป็นพลังงานสะอาด (พลังงานที่มีน้ำ ลม แสงแดดเป็นตัวตั้งต้น) มากถึงร้อยละ 50 ภายในปี พ.ศ. 2593 ซึ่งการจะทำให้เรื่องดังกล่าวเป็นจริงขึ้นมาได้ จำเป็นต้องมีเครือข่ายอัจฉริยะที่ยั่งยืน ในการเข้ามาบริหารจัดการระบบพลังงาน”
ทั้งนี้ ทางหัวเว่ยได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนานวัตกรรมอัจฉริยะในภาคอุตสาหกรรมสาธารณสุขและภาคอุตสาหกรรมพลังงานทางเลือกในประเทศไทยมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งรวมถึงการนำเทคโนโลยี 5G และ AI มาประยุกต์ใช้กับการตรวจและรักษาคนไข้ในโรงพยาบาล และการเปิดตัวส่วนธุรกิจดิจิทัลพาวเวอร์ในประเทศไทย เพื่อให้ความสำคัญกับพลังงานทางเลือกในตลาดไทยโดยเฉพาะ ตามพันธกิจของหัวเว่ยที่ตั้งใจสนับสนุนประเทศไทย และความเชื่อมั่นว่าดิจิทัลเทคโนโลยีคือทางออกของการพัฒนาประเทศในอนาคต “การเติบโตของเรื่องนวัตกรรมดิจิทัลเทคโนโลยีจะไม่เป็นตัวเลือกอีกต่อไป หากไม่มีการเปลี่ยนแปลง ในระยะเวลาเพียง 2-5 ปีข้างหน้า ประเทศไทยจะล้าหลังประเทศอื่น ๆ และอาจไม่อยู่ในสภาพที่พร้อมต่อการเปลี่ยนแปลงอีกต่อไป ส่งผลให้ประเทศไทยขาดความสามารถด้านการแข่งขัน ทั้งในด้านความเร็ว ต้นทุนการให้บริการ และการขยายตลาด ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าปัจจุบันคนมีตัวเลือกมากมายจากสินค้าและบริการทั่วโลก สิ่งสำคัญคือทำอย่างไรเพื่อให้สามารถสร้างรายได้จากเทคโนโลยีเหล่านี้ นำเทคโนโลยีมาใช้ได้อย่างตรงจุดถูกประเด็น และแก้ปัญหาต่าง ๆ ในแต่ละภาคอุตสาหกรรม ซึ่งหากประเทศมีคุณภาพเศรษฐกิจและคุณภาพการใช้ชีวิตที่ดี ประชาชนก็จะมีความสุข ซึ่งความสุขของคนในประเทศถือเป็นสิ่งที่ไม่สามารถประเมินค่าได้” ดร. ชวพล กล่าวปิดท้าย