ซื้อบ้านทั้งที เราทุกคนก็คงอยากได้สิ่งที่ดี และสมบูรณ์แบบที่สุดสำหรับเรา ขั้นตอนหนึ่งที่จะทำให้เราได้บ้านดีๆ อยู่กับเราไปนานๆ ก็คือ ตอนตรวจรับบ้านนี่แหละครับ วันนี้ เรามาดูกันครับว่า เราควรรู้อะไรเบื้องต้นก่อนไปตรวจรับบ้านกันบ้าง
ข้อแนะนำเบื้องต้นก่อนตรวจรับ
1. เน้นดูเป็นเรื่องๆ หรือเรียงเป็นห้องๆ ไป - เนื่องจากรายละเอียดที่ต้องดูในบ้านจะค่อนข้างมาก ขอแนะนำให้เน้นดูเป็นเรื่องๆ หรือไล่เป็นห้องๆ ให้จบไป พอเสร็จเรื่องหนึ่ง หรือห้องหนึ่ง เราก็เน้นดูเรื่องหรือห้องต่อไป เช่น เมื่อเดินเข้าห้องก็เริ่มเน้นไปที่ประตูก่อนเลย แล้วไล่ตรวจประตูทุกบานในบ้าน จากนั้นเน้นดูระบบไฟฟ้าต่อ ไล่ดูทุกปลั๊กไฟ ทดสอบไฟทุกดวง เป็นต้น หรือไล่ดูทุกเรื่องในห้องนั่งเล่นก่อน เมื่อเสร็จแล้วค่อยเข้าไปดูห้องนอน เป็นต้น ถ้าไล่ดูแบบนี้จะทำให้เราไม่ลืม หรือหลุดบางเรื่อง ยิ่งในทางปฏิบัติ เวลาตรวจรับ จะมีเจ้าหน้าที่โครงการมาชวนคุยหรือเดินไปเดินมาอยู่ข้างๆ เรา อาจทำให้เราลืม คุยเพลิน หรือมองข้ามเรื่องบางเรื่องได้
2. อย่าเชื่อเจ้าหน้าที่ - ปกติแล้ว เจ้าหน้าที่โครงการก็อยากให้มีการโอนบ้านให้มากที่สุด เร็วที่สุด และแก้งานน้อยที่สุด ดังนั้นผลประโยชน์ของเจ้าหน้าที่จึงขัดกับเราผู้ซื้อที่ต้องการได้บ้านที่ดีที่สุด ดังนั้น ถ้าเขาพูดอะไรเราคงต้องใช้หลักเหตุผลไตร่ตรองกันอีกทีนะครับ นอกจากนี้ เราควรตรวจสอบรายการแก้ไขที่เจ้าหน้าที่โครงการจดด้วยว่าครบถ้วนถูกต้องหรือไม่ และขอสำเนารายการพวกนี้เก็บไว้สำหรับการตรวจรอบต่อไปด้วย ทางที่ดี หาคนที่พอรู้เรื่องการตรวจรับไปเป็นเพื่อนก็จะดีเพื่อช่วยกันดู ช่วยกันจด และตรวจเช็คความถูกต้องพวกนี้ครับ
3. ถ่ายรูปไว้ให้หมด - เนื่องจากบางทีรายการที่ต้องแก้ไขมีมาก จึงควรถ่ายรูปเก็บไว้ว่าก่อนแก้ไขเป็นอย่างไร และหลังจากแก้ไขแล้วให้เปรียบเทียบกับรูปที่ถ่ายไว้ จะได้เห็นความแตกต่างชัดเจน และดูว่าทางโครงการได้แก้ไขอะไรให้เราหรือไม่ อย่างไร และควรชวนเพื่อนหรือญาติพี่น้องไปช่วยกันดู หรือถ่ายรูปด้วย หลายตาย่อมดีกว่าตาเดียวอยู่แล้วครับ
4. โอนแล้วอาจแก้ยากหรือใช้เวลา - ถ้าเป็นไปได้ควรโอนบ้านหลังจากแก้ไขจุดบกพร่องทั้งหมดเสร็จแล้ว เพราะถ้าเราลงนามรับบ้าน และตกลงไปโอนกับโครงการแล้ว ต้องยอมรับเลยว่าสิ่งที่จะเกิดขึ้นคือ ความกระตือรือร้นของเจ้าหน้าที่โครงการที่จะช่วยท่านแก้ไขข้อบกพร่องอาจลดลงทันที หรือถ้าเจอเจ้าหน้าที่ดีๆ ก็อาจไม่ลดลง แต่เขาอาจจะไปให้ความสำคัญกับงานที่ต้องโอนสำหรับบ้านต่อไป ดังนั้น เวลาที่เขาจะช่วยเหลือ หรือตามงานให้ท่านอาจน้อยลงไปเองโดยปริยาย
5. ไม่ควรตรวจตอนกลางคืน - ถ้าเป็นไปได้ ควรตรวจสอบระหว่างวัน เช่น ตอนเช้า หรือตอนบ่าย เพื่อที่เราจะได้มีเวลาดูได้เต็มที่ และในตอนกลางคืน แสงสว่างอาจไม่พอ หรือแสงจากหลอดไฟอาจหลอกตา จะทำให้เราอาจไม่เห็นข้อบกพร่อง หรืองานปูน หรืองานกำแพงบางอย่างที่ไม่ดีได้ นอกจากนี้การตรวจพื้นที่นอกตัวบ้านในตอนกลางคืน จะทำได้ค่อนข้างยาก และไม่สะดวกเท่าที่ควร
6. ไม่เสร็จจริง ไม่ต้องตรวจ - หากโครงการโทรมาให้ท่านไปตรวจโดยบอกว่าบ้านเสร็จแล้ว และ Quality Control (QC) ของโครงการได้ตรวจสอบหมดแล้ว แต่พอไปตามนัด พบว่าบ้านไม่อยู่ในสภาพที่สร้างเสร็จจริง หรือตรวจหมดแล้วโดย QC จริง ท่านมีสิทธิ์ปฏิเสธไม่ตรวจเลยในวันนั้นได้ และย้ำกับเจ้าหน้าที่ว่า ถ้าบ้านไม่เสร็จแบบเรียบร้อยตามมาตรฐาน QC จริง ไม่ต้องนัดหมายมาให้ตรวจเลย เพราะในทางปฏิบัติ บางโครงการมีการโยนภาระหน้าที่การ QC มาให้ลูกบ้าน แทนที่ตัวเองจะ QC ให้เรียบร้อยก่อน

สิ่งที่ควรตรวจสอบ
ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่า วิธีการและรายละเอียดการตรวจของแต่ละเรื่องมีมากมายตั้งแต่ระดับง่ายสำหรับคนทั่วไป หรือจนถึงระดับยากสำหรับคนที่มีความรู้ทางการก่อสร้าง หรือเชิงช่าง ในที่นี้ จะพูดถึงในระดับเบื้องต้นอย่างง่ายๆ สำหรับคนทั่วไปนะครับ ถ้าท่านอยากให้ตรวจในระดับมืออาชีพมากๆ ปัจจุบันก็มีบริษัทรับจ้างตรวจรับบ้านให้ท่านเลือกใช้บริการได้ครับ หลักๆ ในการตรวจแบบง่ายๆ เราพอจะแยกตัวบ้านออกได้เป็นส่วนๆ ดังนี้ครับ
1. ระบบไฟฟ้า
| อุปกรณ์ที่ควรมี | เรื่องที่ควรทำ หรือตรวจสอบ |
|
|
2. ระบบประปาสุขาภิบาล
| อุปกรณ์ที่ควรมี | เรื่องที่ควรทำ หรือตรวจสอบ |
|
|
3. ประตู-หน้าต่าง
| เรื่องที่ควรทำ หรือตรวจสอบ |
|

4. พื้น
| อุปกรณ์ที่ควรมี | เรื่องที่ควรทำ หรือตรวจสอบ |
|
|
5. กำแพงผนัง
| อุปกรณ์ที่ควรมี | เรื่องที่ควรทำ หรือตรวจสอบ |
|
|
6. เพดาน
| เรื่องที่ควรทำ หรือตรวจสอบ |
|

7. หลังคา
| เรื่องที่ควรทำ หรือตรวจสอบ |
|
8. พื้นที่นอกตัวบ้าน
| เรื่องที่ควรทำ หรือตรวจสอบ |
|

สิ่งที่ควรทำหลังตรวจสอบ
เมื่อตรวจบ้านที่รับมอบกันเป็นที่พอใจแล้ว ก็มีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่พวกเราควรให้ความสำคัญต่อเนื่องดังต่อไปนี้นะครับ
1. ใบรับประกันสินค้า
อย่าลืมขอใบรับประกันสินค้า และรีโมทคอนโทรลของอุปกรณ์ต่างๆ ภายในบ้านมาให้หมดนะครับ เช่น แอร์ ทีวี เครื่องดูดอากาศ (ทั้งหมดนี้ถ้ามีแถม) เพราะหากพบปัญหาในภายหลัง เราจะได้นำไปเคลมได้
2. แบบแปลนผัง Layout
ถ้าเป็นไปได้ บางโครงการอาจมีแบบแปลนระบบประปา ผังไฟฟ้า หรือสุขาภิบาลให้ด้วย (เช่น ทำเป็นแผ่นซีดีให้) ถ้าโครงการเรามีควรขอมาเก็บไว้ด้วย เพื่อที่เราจะได้รู้ว่าตำแหน่งสายไฟ หรือท่อน้ำอยู่ตรงไหน ถ้ามีความจำเป็นต้องเจาะกำแพงเราจะได้ระมัดระวังไม่ให้ไปโดน หรือถ้าเราต้องการให้ช่างย้ายตำแหน่งอุปกรณ์บางอย่าง ช่างจะได้รู้ว่าตำแหน่งปัจจุบันอยู่ตรงไหน และวางสายหรือท่ออยู่ตรงไหนบ้าง เป็นต้น
3. เบอร์สี หรือตัวอย่างแผ่นกระเบื้อง
ถ้าเป็นไปได้ก็ขอเบอร์สีที่ทาภายในห้อง หรือตัวอย่างแผ่นกระเบื้องที่ใช้ในห้องมาเก็บไว้ เพื่อที่ว่าในอนาคต เผื่อต้องซ่อม หรือทาสีใหม่ เราจะได้สี หรือลายกระเบื้องที่ใกล้เคียง หรือตรงกับของเดิมให้มากที่สุด
4. กุญแจ / บัตรเข้าออก
ตรวจรับกุญแจทุกดอกภายในห้องให้ครบถ้วน และเช็คดูว่าทั้งหมดนี้ใช้เปิดปิดได้ รวมถึงคีย์การ์ดเข้าออกโครงการ (ถ้ามี) ด้วย
5. ระยะเวลาการรับประกัน
อย่างไรก็ดี แม้เราจะลงนามรับมอบบ้านแล้ว แต่สัญญามาตรฐาน (แบบมาตรฐานของสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินจัดสรรตามประกาศคณะกรรมการจัดสรรที่ดินกลาง) ก็คุ้มครองว่าเจ้าของโครงการจะต้องให้การรับประกัน (Warranty) ตัวบ้านอย่างต่อเนื่องด้วย โดยถ้าเป็นเรื่องของโครงสร้าง เช่น เสาเข็ม รากฐาน เสาคาน พื้น เป็นต้น จะครอบคลุมไม่น้อยกว่า 5 ปี และถ้าเป็นส่วนควบ หรืออุปกรณ์อันเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของอาคารนอกเหนือจากโครงสร้างจะครอบคลุมไม่น้อยกว่า 1 ปีนับตั้งแต่วันโอนกรรมสิทธิ์

ท้ายที่สุดแล้ว วิธีการข้างต้นนี้เป็นเพียงขั้นตอนเบื้องต้นเท่านั้น เพราะในท้ายที่สุด งาน หรือการติดตั้งบางอย่างดูจากภายนอกตอนตรวจก็ดูเหมือนจะดูดีโอเคไม่มีปัญหา แต่เมื่อใช้ไปสักพักความบกพร่องในงานช่าง หรือการติดตั้งก็มักจะเริ่มปรากฎให้เห็นเมื่อเราเข้าอยู่แล้ว ตัวอย่างที่เคยเจอก็เช่น ความลาดเอียงในการติดตั้งแอร์ไม่เหมาะสมทำให้เริ่มมีน้ำรั่วออกมาจากตัวแอร์ หรือพื้นดินที่ปลูกหญ้าภายนอกเริ่มทรุด เป็นต้น ซึ่งเรื่องพวกนี้ก็คงต้องเรียกช่างโครงการมาแก้ให้อีกที ดังนั้น แม้จะตรวจรับกันดีแล้ว แต่ก็ควรทำใจเผื่อสำหรับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ พวกนี้ที่เราอาจต้องเจอเมื่อเข้าอยู่จริงด้วยนะครับ เป็นเรื่องธรรมดาที่เจอกันประจำครับ!!
เขียนโดย
เช็คราคา.คอม
Property Guru
พูดคุยกับกูรูได้ที่

