เสนาฯ ผ่ามุมมองอสังหาฯ โค้งสุดท้ายปี 58 พร้อมลุยธุรกิจพลังงานทดแทนเต็มเหนี่ยว
บมจ.เสนาดีเวลลอปเม้นท์ (SENA) มองแนวโน้มตลาดอสังหาฯ โค้งสุดท้ายปี 58 แข่งเดือด! โดยเฉพาะตลาดบน "ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์" ย้ำเดินเกมไม่ประมาท ผ่านกลยุทธ์ "ไฟนีออน" เปิด-ปิด ได้สะดวก เท่าทันสถานการณ์ เผยในช่วงที่เหลือของปีนี้ เตรียมเปิดใหม่อีก 3 โครงการ มูลค่า 2,000 ล้านบาท พร้อมลุยธุรกิจพลังงานทดแทนเต็มเหนี่ยว ต่อยอดธุรกิจอสังหาฯ หวังเพิ่มรายได้ในกลุ่มธุรกิจ Recurring Income แย้มในช่วงเดือนก.ย.นี้ เตรียมเป็นถือหุ้นรายใหญ่ กิจการ Engineering, Procurement, and Construction (EPC) เติมเต็มธุรกิจโซลาร์รูฟท็อป ตอบโจทย์การให้บริการลูกค้า 360 องศา สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับลูกค้าที่ซื้อบ้านของเสนาฯ
ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการบริหาร บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) (SENA) แถลงถึงแผนงานในช่วงที่เหลือของปี 2558 ว่าภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงครึ่งปีหลัง คาดว่ายังคงมีการแข่งขันอย่างรุนแรง โดยเฉพาะตลาดอสังหาฯ ในระดับบน เนื่องจากกำลังซื้อของผู้บริโภคยังมีอยู่ และไม่ได้รับผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจที่ชะลอตัวมากนัก ซึ่งต่างจากตลาดในระดับล่างที่ราคาต่ำกว่า 1.5 ล้านบาท ที่มีความเสี่ยงค่อนข้างมาก เนื่องจากได้รับผลกระทบจากปัญหาหนี้ครัวเรือน และสถาบันการเงินมีมาตรการคุมเข้มในการปล่อยกู้ ซึ่งเห็นได้จากยอดปฏิเสธสินเชื่อในช่วงที่ผ่านมาที่เริ่มมีสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าตลาดอสังหาฯ โดยรวมยังคงมีโอกาสเดินหน้าต่อไปได้ เนื่องจากถือเป็นปัจจัยสี่ แม้อาจชะลอการตัดสินใจซื้อไปบ้างในภาวะที่เศรษฐกิจไม่ดี อีกทั้งในปัจจุบันผู้บริโภคนิยมซื้อที่อยู่อาศัยเพิ่มมากกว่า 1 แห่ง ยังเป็นปัจจัยหนุนต่อตลาด ขณะเดียวกันยังได้รับปัจจัยบวกจากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำ และแนวโน้มยังอยู่ในช่วงขาลง ทำให้ผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อกล้าที่จะตัดสินใจซื้ออสังหาฯ เพื่อการอยู่อาศัย หรือเพื่อการลงทุน
"ครึ่งปีที่ผ่านมา เราเปิดโครงการไปแล้ว 4 โครงการโดยดำเนินนโยบายตามกลยุทธ์ที่เรียกว่า 'ไฟนีออน' ที่ส่องสว่างชัดเจน แสดงให้เห็นว่าทิศทางของธุรกิจ จะเน้นความชัดเจนเรื่อง Branding และ Segmentation และสามารถเปิด-ปิด หรือปรับตัวได้สอดคล้องกับสถานการณ์ เห็นได้จากในปีนี้เราหันมารุกตลาดลูกค้าในระดับ B+ และปรับตัวด้วยการเปิดโครงการในแนวราบเพิ่มมากขึ้น เพื่อกระจายความเสี่ยง หลังตัวเลขหนี้ครัวเรือนมีอัตราสูงขึ้น และแบงก์คุมเข้มในการปล่อยกู้" ผศ.ดร.เกษรากล่าว
ทั้งนี้ ตั้งแต่ต้นปีจนถึงขณะนี้บริษัทสามารถทำยอดขายได้แล้ว 2.5-2.6 พันล้านบาท โดยในช่วงที่เหลือของปีบริษัทจะเปิดโครงการแนวราบอีก 3 โครงการ มูลค่ารวม 2,000 ล้านบาท หลังจากเปิดโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ล่าสุด
นิช ไพรด์ ทองหล่อ-เพชรบุรี (Niche Pride Thonglor - Phetchaburi) ไปแล้วในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา และมียอดจองแล้ว 40% และในเดือนกันยายนนี้ ได้ปรับราคาขายเพิ่มขึ้นอีก 5% เพื่อให้สอดคล้องกับราคาตลาดที่ปรับตัวสูงขึ้น
ส่วนงบประมาณที่ตั้งไว้สำหรับซื้อที่ดินจำนวน 800 ล้านบาท ในปีนี้ ได้ใช้ไปเกือบหมดแล้ว ซึ่งบริษัทได้นำไปใช้ซื้อที่ดิน ซึ่งส่วนใหญ่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล เพื่อรองรับการพัฒนาโครงการได้ในอีก 2 ปีข้างหน้า และในช่วงที่เหลือของปีนี้จะชะลอการซื้อที่ดิน เนื่องจากบริษัทต้องการเก็บกระแสเงินสดไว้ลงทุนโครงการในอนาคต รวมถึงบริษัทยังมีแผนที่จะเพิ่มทุนเพื่อรองรับการขยายงานในอนาคตด้วย
ผศ.ดร.เกษรา กล่าวถึงธุรกิจพลังงานแสงอาทิตย์ว่า คาดว่าภายในเดือนกันยายนนี้ จะได้ข้อสรุปในการเข้าไปเป็นถือหุ้นรายใหญ่ในกิจการของบริษัทวางระบบวิศวกรรม (EPC) โซลาร์รูฟท็อป ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาและเจรจาสัดส่วนการเข้าไปถือหุ้นของทั้ง 2 ฝ่าย
"การเข้าไปเป็นถือหุ้นรายใหญ่ในกิจการ EPC ในครั้งนี้ เชื่อว่าจะช่วยเสริมศักยภาพการดำเนินธุรกิจโซลาร์รูฟฯ และบริษัทจะมีรายได้พิเศษเสริมเข้ามาจากการรับงานติดตั้งโซลาร์รูฟฯให้กับผู้ประกอบการรายอื่นด้วย และเป็นการตอบโจทย์การให้บริการลูกค้าของเสนาฯแบบ 360 องศา เพราะลูกค้าโครงการของเสนาฯ ที่สนใจติดตั้งโซลาร์รูฟฯ จะได้รับการบริการที่ครบวงจร เริ่มตั้งแต่การให้คำปรึกษา การติดตั้ง การให้บริการหลังการขาย ซึ่งทำให้สบายใจได้ว่า หลังจากติดตั้งโซลาร์รูฟฯ ของเสนาฯแล้วจะไม่มีปัญหาในอนาคต และที่สำคัญยังเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับลูกค้าที่ซื้อบ้านกับเราอีกด้วย" ผศ.ดร.เกษรากล่าว
นอกจากนี้ ในส่วนของโครงการโซลาร์ฟาร์มที่บริษัทร่วมทุนกับบริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด ขณะนี้อยู่ระหว่างการก่อสร้าง 46.5 เมกะวัตต์ จำนวน 2 แห่ง คาดว่าจะเริ่มทยอยจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ได้ภายในสิ้นปีนี้ โดยใช้เงินลงทุนประมาณ 60-70 ล้านบาท/เมกะวัตต์
ทั้งนี้ ในช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา บริษัทได้เริ่มจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ของโครงการโซลาร์รูฟท็อปที่ติดตั้งบนหลังคาโกดังเก็บสินค้าของบริษัทที่สุขุมวิทไปแล้ว โดยมีกำลังการผลิตไฟฟ้า 750 กิโลวัตต์ ซึ่งจะทำให้ปีนี้จะรับรู้รายได้จากการขายไฟจากโครงการดังกล่าวเข้ามาประมาณ 3.5 ล้านบาท และในปี 2559 จะรับรู้เต็มปีเป็นจำนวน 7 ล้านบาท
สำหรับสัดส่วนรายได้ของบริษัทในปี 2558 จะมีรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ 85% รายได้จากค่าเช่า 10% และรายได้จากธุรกิจพลังงานไฟฟ้าแสงอาทิตย์อีก 5%
อนึ่ง คณะกรรมการบริษัทอนุมัติให้เพิ่มทุนจดทะเบียน 351.76 ล้านหุ้น จากทุนจดทะเบียนเดิม 882.75 ล้านหุ้น โดยแบ่งเป็นการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนให้กับผู้ถือหุ้นเดิม (RO) 262.76 ล้านหุ้น และเสนอขายให้กับบุคคลเฉพาะเจาะจง (PP) 87.59 ล้านหุ้น โดยบริษัทจะขายหุ้นเพิ่มทุนให้กับผู้ถือหุ้นเดิมก่อนจนผู้ถือหุ้นเดิมไม่มีความต้องการซื้อหุ้นแล้วจึงจะดำเนินการขายให้บุคคลเฉพาะเจาะจง
อย่างไรก็ตาม แผนการเพิ่มทุนดังกล่าวจะต้องผ่านการอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นในเดือนกันยายน 2558 ที่จะถึงนี้ โดยวัตถุประสงค์หลักของการเพิ่มทุนในครั้งนี้ เพื่อไว้ใช้ในการลงทุนโครงการพลังงานแสงอาทิตย์และเป็นเงินทุนหมุนเวียนในบริษัท