วันนี้เราจะมาพูดถึง "กระเบื้องเซรามิก" และ "พื้นไม้" ที่มักจะติดมากับห้องคอนโด หรือบ้านที่เราซื้อกันนะครับ ซึ่งกระเบื้องเซรามิก และพื้นไม้แต่ละประเภทนั้นมีการใช้วัตถุดิบ และส่วนผสมในการผลิตที่แตกต่างกัน วันนี้เรามาเรียนรู้คุณสมบัติ และความเหมาะสมในการใช้ของวัสดุแต่ละประเภทพวกนี้กันครับ
กระเบื้องประเภทนี้มีทั้งแบบการปูผนังภายในและกระเบื้องสำหรับปูภายนอก ต้องเลือกให้ถูกชนิด เพราะกระเบื้องบุผนังภายในนั้นสามารถรับน้ำหนักได้น้อย และไม่ทนทานต่อรอยขูดขีดและสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงบ่อย ดังนั้นแล้วไม่ควรนำมาปูพื้นหรือปูผนังภายนอกอาคารเป็นอย่างยิ่ง (เปอร์เซ็นต์การดูดซึมน้ำไม่เกิน 17%) ส่วนกระเบื้องบุผนังภายนอกก็จะมีความทนทานมากกว่า
2. กระเบื้องปูพื้น (Floor Tiles)
เหมาะสำหรับการปูพื้นอาคารเนื่องจากสามารถรับน้ำหนักได้มาก ทนทานต่อรอยขูดขีด และยังสามารถปูผนังได้อีกด้วย (เปอร์เซ็นต์การดูดซึมน้ำไม่เกิน 6%)
3. กระเบื้องแกรนิตโต้ (Granito)
เป็นกระเบื้องที่มีการผสมผงหินแกรนิต และผลิตเป็นเนื้อเดียวกันทั่วทั้งแผ่น ไม่มีการเคลือบผิวหน้า โดยมีความสามารถในการรับแรงได้มาก และทนต่อการขัดสีได้ดีกว่ากระเบื้องชนิดอื่นๆ จึงเหมาะกับการใช้งานในการปูพื้นอาคารที่มีการใช้งานเป็นประจำ เช่น พื้นห้องนั่งเล่น พื้นอาคารสำนักงาน (เปอร์เซ็นต์การดูดซึมน้ำไม่เกิน 0.1%)
4. กระเบื้องเกลซพอร์ซเลน (Glazed Porcelain Tiles)
กระเบื้องที่มีการเคลือบสีที่ผิวหน้า ที่ผ่านกรรมวิธีการขึ้นรูปด้วยวิธีการปั๊ม ทำให้ได้กระเบื้องเนื้อแน่น และเรียบ มีเนื้อกระเบื้องเป็นแบบพอร์ซเลน มีความสามารถในการรับแรงได้มาก ทนต่อการขัดสีได้ดี เหมาะกับการใช้งานในการปูพื้นอาคารที่มีการใช้งานเป็นประจำ เช่น พื้นห้องนั่งเล่น พื้นอาคารสำนักงาน (เปอร์เซ็นต์การดูดซึมน้ำไม่เกิน 0.5%)
5. กระเบื้องโมเสค (Mosaic Tiles)
เป็นกระเบื้องที่มีมีขนาดเล็กไม่เกิน 4X4 นิ้ว เหมาะสำหรับตกแต่งผนัง ปูพื้นสระว่ายน้ำ หรืองานเฉพาะพื้นที่ เช่น ผนังโค้ง การปูกระเบื้องเรียงเป็นรูปต่างๆ (Art Tiles)
6. กระเบื้องแก้ว (Glass Tiles)
ลักษณะเป็นพื้นผิวมันวาวเนื้อโปร่งแสง เหมาะสำหรับตกแต่งผนังภายในทั่วไป มีทั้งแบบเป็นแผ่นและเป็นโมเสคเม็ดเล็ก
7. กระเบื้องเรซิ่น (Resin Tiles)
มีลักษณะเป็นเรซิ่นนำมาหล่อขึ้นรูปร่วมกับวัสดุธรรมชาติ เช่น กลีบดอกไม้ ใบไม้ เหมาะสำหรับการตกแต่งผนังภายในบ้านทั่วไป แต่ไม่เหมาะกับบริเวณที่สัมผัสกับอุณหภูมิสูง เช่น ห้องครัว
สำหรับกระเบื้องปูพื้นและปูผนังนั้นหากเป็นห้องที่มีพื้นที่มากสามารถเลือกกระเบื้องขนาด 16 x 16 นิ้ว, 24 x 24 นิ้ว, 24 x 48 นิ้ว ไปจนถึงขนาด 1 x 1 เมตร หากเป็นห้องที่มีพื้นที่ขนาดเล็กอาจจะใช้ขนาด 8 x 8 นิ้ว หรือ 12 x 12 นิ้ว แทน นอกจากจะเลือกกระเบื้องจากความสวยงามแล้ว ควรคำนึงถึงความปลอดภัยอีกด้วย เช่น ในบริเวณที่พื้นต้องสัมผัสกับน้ำควรเลือกกระเบื้องที่มีผิวหยาบเพื่อป้องกันอุบัติเหตุขณะลื่นล้ม แต่กระเบื้องที่มีผิวหยาบก็จะทำความสะอาดค่อนข้างยาก ดังนั้นควรเลือกใช้งานตามความเหมาะสมนะครับ ต่อไปเรามาดูประเภทของพื้นไม้กันดีกว่าครับ
ประเภทของพื้นไม้
1. พื้นไม้ลามิเนต (Laminate Flooring)
พื้นไม้ลามิเนตเป็นวัสดุปูพื้นที่ผลิตขึ้นมาเพื่อใช้งานทดแทนไม้ปาร์เก้ และพื้นไม้จริง จะมีคุณสมบัติที่เป็นจุดเด่นคือใช้เวลาการติดตั้งที่รวดเร็วกว่า ผิวหน้าสามารถทนทานต่อรอยขูดขีด แรงกดกระแทกได้ดีกว่า และ สามารถเลือกสีผิวหน้าให้เป็นลวดลายที่ต้องการได้ โดยส่วนประกอบของพื้นลามิเลตจะมีด้วยกัน 4 ส่วนคือ
1. ผิวหน้า เคลือบด้วย "เมลามีน เรซิ่น" สำหรับการป้องกันรอยขูดขีดและกดทับจากการใช้งาน
2. ลายไม้ ฟิล์มที่พิมพ์ลายไม้ตามแบบที่ต้องการเคลือบทับด้วยเมลามีนด้วยวิธีแรงดันสูงทำให้ลายไม้สามารถทนต่อแสงแดดได้เป็นปีๆ
3. ชั้นแกนกลาง ผลิตจากไม้จริงนำมาบดและอัดด้วยแรงดันสูงในส่วนชั้นนี้จะเป็นตัวกำหนดความคงทนของพื้นลามิเนต (โดยความหนาที่นิยมจะเป็น 8 ม.ม และ 12 ม.ม.) สำหรับความเชื่อที่ว่ายิ่งหนายิ่งดีกว่าคงไม่ถูกต้องนัก เพราะหากเป็นพื้น 8 ม.ม. ที่มีการผลิตที่ดีกว่า แบบ 12 ม.ม. ในส่วนแกนกลางมีความหนาแน่นกว่า ความชื้นเข้าถึงได้น้อยกว่า ก็จะมีความคงทนที่มากกว่าก็เป็นได้
4. ชั้นล่าง จะมีแผ่นฟิล์มไว้สำหรับป้องกันความชื้นจากพื้นผิวอาคาร
2. พื้นไม้เอนจิเนียร์ (Engineered Wood)
คือพื้นไม้ที่มีส่วนประกอบของแผ่นไม้จริง นำมารวมกับไม้อัดแท่งหรือไม้เนื้ออ่อนซ้อนทับกันหลายชั้น ซึ่งความรู้สึกจะแตกต่างจากพื้นไม้ลามิเนต และมีราคาที่สูงกว่า ซึ่งรายละเอียดของชั้นไม้จะแบ่งได้คร่าวๆ ดังนี้
1. ชั้นบนสุด จะเป็นไม้เนื้อแข็ง จะมีการตกแต่งลายไม้และเคลือบผิวกันรอยไว้
2. ชั้นแกนกลาง จะใช้พวกไม้สนอัดแท่ง, ไม้เนื้ออ่อน หรือ HDF แบบที่พื้นลามิเนตใช้โดยเนื้อไม้จะเป็นลักษณะยืดหยุ่นได้สูงเพื่อการยืดตัวของชั้นไม้
3. ชั้นล่างสุด จะเป็นไม้แผ่นที่มีความแข็งเพื่อรองรับแผ่นไม้กับพื้นห้อง
โดยความหนาของแผ่นไม้จะแตกต่างกันตามผู้ผลิต ยิ่งหนามาก ราคาก็จะสูงตามไปด้วย
3. พื้นไม้จริง
เป็นพื้นไม้ที่นำไม้จริงนำมาแปรรูปให้เป็นลักษณะแผ่น มีการเคลือบสารกันรอย กันปลวก ลายไม้ในแต่ละแผ่นอาจจะมีสีไม่สม่ำเสมอ สีของลายไม้อาจจะซีดจางหากถูกแสงแดดเป็นเวลานาน การใช้งานก็ต้องดูแลรักษามากกว่าพื้นไม้ประเภทอื่นๆ ปัจจุบันมีการทำเป็นระบบรางลิ้นรางเดือยเพื่อความสะดวกในการติดตั้ง
4. พื้นไม้ปาร์เก้ (Parquet Flooring)
ไม้ปาร์เก้คือไม้จริงขนาดเล็กนำมาปูบนพื้นต่อๆกัน พื้นไม้ประเภทนี้ต้องระวังในเรื่องปลวก ความชื้นการหด และขยายตัวของไม้ รวมไปถึงรอยบนพื้นขณะเคลื่อนย้ายเฟอร์นิเจอร์ ควรดูแลพื้นไม้ประเภทนี้อย่างสม่ำเสมอ และควรใช้น้ำยาสำหรับทำความสะอาดพื้นไม้โดยเฉพาะอีกด้วย
พื้นไม้ในแต่ล่ะประเภทก็มีข้อดีข้อเสีย และข้อจำกัดที่แตกต่างกันออกไป เราควรเลือกใช้ให้เหมาะกับประเภทของห้องและงบประมาณนะครับ ทาง CheckRaka.com หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับผู้ที่ต้องการเลือกวัสดุสำหรับการปูพื้นห้องนะครับ