คอนโด High rise VS Low rise เปรียบเทียบแบบไหนน่าลงทุนกว่ากัน?
การลงทุนในคอนโดถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับ passive income ที่สามารถเลือกเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ได้ทุกเดือนจากการปล่อยเช่า หรือถือครองไว้เป็นสินทรัพย์แล้วค่อยขายต่อเพื่อเก็งกำไรในระยะยาว แต่จะทำได้ตามหวัง ก็ต้องมั่นใจว่าเราได้เลือกซื้อคอนโดที่ดี และมีศักยภาพ แล้วเราควรเลือกลงทุนกับคอนโดแบบไหนล่ะ? โดยเฉพาะคำถามสุดฮิตที่ถามมาบ่อยว่า ควรเลือกซื้อคอนโดสูงแบบ High rise หรือคอนโดแบบ Low rise ที่สูงไม่เกิน 8 ชั้น (23 เมตร) ดีกว่ากัน?
ก่อนที่จะเลือกซื้อคอนโด ทีมงาน CheckRaKa.com ขอแนะนำ 12 เทคนิคลงทุนคอนโดให้ได้กำไร
ซึ่งไม่ว่าโครงการที่เพื่อนๆ สนใจจะเป็นคอนโดสูงแบบ High rise หรือคอนโด Low rise หากสามารถลองทำตามเทคนิค 12 ข้อนี้ได้ จะเพิ่มโอกาสในการลงทุนคอนโดให้คุ้มค่า และสร้างกำไรได้มากเลยค่ะ
1. ทำเล และความสะดวกในการเดินทางเข้า-ออก
ในเรื่องนี้คงต้องให้คะแนนคอนโดแบบ High rise เป็นผู้ชนะ เพราะด้วยกฎหมาย และข้อบังคับของการก่อสร้างคอนโดสูงเกิน 8 ชั้น แบบ High rise ที่ทางเข้า-ออกของโครงการต้องอยู่ติดถนนกว้างขนาด 10 เมตรขึ้นไป เลยเป็นเหมือนไฟล์ทบังคับให้คอนโดสูงต้องตั้งอยู่ในพื้นที่ที่มีทำเลติดถนนใหญ่ ซึ่งแน่นอนทำเลติดถนนใหญ่ก็ย่อมต้องโดดเด่น เดินทางเข้า-ออกสะดวก มีโอกาสอยู่ใกล้กับระบบขนส่งมวลชนมากกว่าโครงการคอนโดแบบ Low rise ที่ส่วนใหญ่จะอยู่ในซอยเพราะกฎหมายอนุญาตให้สร้างได้แค่ต้องมีทางเข้า-ออกติดถนนกว้างขนาด 6 เมตรขึ้นไป แต่... เหตุผลนี้อาจต้องยกเว้นให้โครงการ Low rise ทำเลดีบางแห่งที่ถึงจะไม่ติดถนนใหญ่แต่บางทีก็ทำเลดีมาก เพราะซอยที่ตั้งสามารถลัดไปออกยังถนนสายหลักหรือทางด่วนเลี่ยงรถติด หรือบางที่ก็อยู่ติดห้างสรรพสินค้า สามารถใช้เป็นทางตัดเดินหลบแดดไปขึ้นรถไฟฟ้าหรือข้ามสะพานลอยได้เลยก็มี เพื่อนๆ คงต้องพิจารณาเหตุผลในแง่มุมแบบนี้ประกอบการตัดสินใจด้วยนะคะ
2. ความเงียบ สงบ และเป็นส่วนตัว
สำหรับบางคนที่ชื่นชอบความเงียบสงบแบบเป็นส่วนตั๊ว... ส่วนตัว ไม่ชอบความวุ่นวาย คนน้อยๆ คือสวรรค์ของคุณ เหตุผลนี้ต้องเทใจไปเลือกคอนโดแบบ Low rise ที่ถึงพื้นที่โดยรวมของโครงการแบบ Low rise อาจจะมีขนาดน้อยกว่า แต่จุดเด่นอย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัดคือ โครงการประเภทนี้จะได้เปรียบในเรื่องของความเป็นส่วนตัว เพราะด้วยจำนวนชั้นที่มีไม่มากบังคับให้ 1 อาคาร มีจำนวนยูนิตประมาณเพียงร้อยนิดๆ เมื่อจำนวนยูนิตน้อยจำนวนผู้อาศัยก็ไม่มากตาม ไหนจะเรื่องข้อกำหนดของทำเลที่โครงการ Low rise มักสร้างอยู่ในซอยไม่ได้อยู่ติดถนนใหญ่ ก็เลยมีข้อดีเพิ่มตรงที่ไม่ต้องฟังเสียงดังจากท้องถนนฝุ่นควันมีน้อยและมีความเป็นส่วนตัวมากกว่าคอนโดแบบ High rise ที่มีจำนวนชั้นสูงเฉลี่ยตั้งแต่ 20-40 ชั้น ทำให้จำนวนยูนิตมีมากขึ้นตาม ยกเว้นว่าจะเป็นคอนโด High rise ที่ Exclusive มากๆ บางแห่ง ที่โครงการตั้งใจออกแบบให้มีจำนวนยูนิตต่อชั้นน้อยกว่าปกติ หรือเน้นขายห้องขนาดใหญ่ เพื่อให้ความเป็นส่วนตัวสูง แต่ก็แน่นอนว่าต้องแลกมาด้วยราคาต่อตารางเมตรที่สูงขึ้นตามความ Exclusive เช่นเดียวกันค่ะ
3. ความหนาแน่น และเพียงพอของพื้นที่ส่วนกลาง
พื้นที่ส่วนกลางที่เพียงพอต้องมีสัดส่วน มีการจัดสรรพื้นที่ที่ลงตัว และพอเพียงกับสัดส่วนของจำนวนผู้อยู่อาศัยในโครงการค่ะ ซึ่งจุดนี้คอนโดแบบ High rise ที่เป็นโครงการขนาดใหญ่ก็จะได้เปรียบกว่าเต็มๆ เหตุเพราะมีพื้นที่ใช้สอยให้พัฒนามากกว่า ทำให้สามารถออกแบบพื้นที่ส่วนกลางได้หลากหลายกว่าโครงการแบบ Low rise ซึ่งหลายครั้งที่เรามักเห็นว่าคอนโดสูงบางโครงการออกแบบและจัดสรรพื้นที่ส่วนกลางไว้มากถึง 2-3 จุด อาจมีสระว่ายน้ำทั้งบนดาดฟ้าและที่ชั้นล่างตามจุดเด่นของวิวและแปลงพื้นที่ซึ่งจะช่วยลดการกระจุกตัวของจำนวนผู้ใช้งาน จุดนี้จึงถือเป็นจุดเด่นของโครงการแบบ High rise ที่ได้เปรียบมากกว่าคอนโด Low rise แบบเห็นได้ชัด แต่อย่างที่บอกตั้งแต่ต้นค่ะพื้นที่ส่วนกลางที่เพียงพอจริงๆ นั้น ต้องมีความพอเพียงสำหรับจำนวนผู้อยู่อาศัยในโครงการ ถึงคอนโด Low rise จะมีพื้นที่ส่วนกลางไม่หลากหลายเท่าคอนโดสูง แต่ถ้าสามารถออกแบบจัดแบ่งพื้นที่ส่วนกลางได้พอเพียงกับจำนวนผู้อยู่อาศัย ก็ถือว่าดีเยี่ยมเช่นกันค่ะ
4. จำนวนที่จอดรถที่เพียงพอ
เหตุผลข้อนี้ คอนโดแบบ High rise ได้เปรียบมากกว่าเมื่อเทียบกับคอนโดแบบ Low rise เพราะการออกแบบอาคารสูงส่วนใหญ่จะสามารถจัดแบ่งชั้นล่างๆ ของอาคารที่วิวยังไม่ดีไว้เป็นชั้นสำหรับส่วนจอดรถ ซึ่งอาจจะมีมากถึงเกือบ 10 ชั้น และเป็นไปตามสัดส่วนของจำนวนยูนิตในโครงการที่มีมากกว่า ส่วนคอนโดแบบ Low rise เนื่องจากความสูงของอาคารถูกจำกัดไว้ที่ 23 เมตร หรือประมาณ 8 ชั้น เลยมักออกแบบให้ชั้นล่างเป็นที่จอดรถแค่เพียงชั้นเดียว ซึ่งจำนวนที่จอดรถย่อมมีน้อยกว่าแน่นอน เพราะถ้าโครงการไหนที่เพิ่มจำนวนชั้นจอดรถมาให้ก็หมายความว่า ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าของโครงการใจปล้ำลดชั้นที่เป็นยูนิตอยู่อาศัยออกไป ก็แปลว่าโครงการอาจจะต้องดรอปความสูงระหว่างชั้นจากพื้นจรดเพดานให้เตี้ยลง เพื่อแปลงเอาความสูงมาเพิ่มเป็นชั้นจอดรถให้แทน ซึ่งแน่นอนต้องแลกมากับความโปร่งโล่งของห้องพักอาศัยที่ลดลงค่ะ แต่ยังไงก็อย่าลืมว่า ถึงจำนวนตัวเลขที่จอดรถจะดูมีเยอะแยะแค่ไหน แต่ถ้ายังมีสัดส่วนที่จอดรถไม่เพียงพอกับจำนวนยูนิตในโครงการ ไม่ว่าจะเป็นคอนโดแบบ High rise หรือ Low rise ก็มีปัญหาได้ทั้งนั้นค่ะ
5. วิวทิวทัศน์ที่สวยงาม
ข้อนี้ต้องถือว่าคอนโดแบบ High rise ส่วนใหญ่จะชนะคอนโด Low rise เพราะความได้เปรียบของการเป็นอาคารสูงทำให้สามารถมองเห็นวิวจากชั้นที่สูงกว่า และมีโอกาสที่อาคารข้างๆ จะบังวิวก็น้อยกว่าคอนโดเตี้ย นอกจากนี้แล้วส่วนใหญ่คอนโดสูงมักมีชื่อ มีจุดขาย หรือจุดเด่นเรื่องวิวเจ๋งๆ อย่างการเป็นคอนโดวิวทะเล วิวแม่น้ำ หรือวิวเมืองแบบเทพๆ เพราะวิวดีๆ ย่อมต้องแลกมาด้วยราคาต้นทุนของที่ดินที่มีมูลค่าสูง ซึ่งแน่นอนการพัฒนาที่ดินที่มีต้นทุนสูงให้ได้กำไรและความคุ้มค่าที่สุด เจ้าของโครงการก็ต้องมุ่งการลงทุนไปเลือกสร้างโครงการคอนโดสูงแบบ High rise มากกว่าพัฒนาโครงการเป็นคอนโดแบบ Low rise แน่นอนค่ะ
6. แนวโน้มมูลค่าที่เพิ่มขึ้น
จากข้อมูลสถิติที่ผ่านมา (เช่น ตามตารางข้างล่างคือตัวอย่างโครงการคอนโดแนว High rise และ Low rise บางโครงการที่เราคัดเลือกมาเปรียบเทียบให้เห็นมูลค่า หรือราคาที่เพิ่มขึ้น) จะเห็นได้ว่า โดยรวมแล้วมูลค่า และราคาของคอนโด High rise ในเมืองไทย โดยเฉลี่ยจะเพิ่มขึ้น (appreciate) ในสัดส่วนที่มากกว่า สาเหตุก็น่าจะมาจากหลายๆ เรื่องประกอบกัน เริ่มจากความสูงโดดเด่นสง่างามที่ถ้าออกแบบได้ดี ตัวตึกจะสะดุดตาสวยงามน่าดูกว่าคอนโดเตี้ย เรื่องของทำเลที่คอนโดแนวสูงมักได้เปรียบกว่า เช่น ติดถนนใหญ่และติดรถไฟฟ้าเลย นอกจากนี้ คอนโด High rise บางโครงการก็มีทุกอย่างจบในที่เดียว เช่น ส่วนกลางสำหรับออกกำลังกายครบถ้วน มีสวนให้เดินเล่น มี Supermarket เล็กๆ ด้านล่าง เป็นต้น ดังนั้น ถ้ามองในเชิงลงทุน โอกาสที่เราจะได้ผลตอบแทนสูงกว่า หรือเร็วกว่าจากคอนโด High rise จึงน่าจะมีมากกว่าคอนโด Low rise ค่ะ
"ตัวอย่างอัตราการเติบโตของราคาคอนโด High rise ในช่วงปี 2013-2016" ชื่อโครงการ | ปี 2013 ราคาบาทต่อตร.ม.
| ปี 2016 ราคาบาทต่อตร.ม.
| % ที่เพิ่มขึ้้น
|
1) PYNE แสนสิริ (สร้างเสร็จปี 2013) | 162,293 | 273,065 | 68.25 % |
2) IDEO พระราม 9 (สร้างเสร็จปี 2014) | 121,667 | 153,167 | 25.80 % |
3) THE RIVER (สร้างเสร็จปี 2010) | 141,154 | 168,075 | 19.00 % |
"ตัวอย่างอัตราการเติบโตของราคาคอนโด Low rise ในช่วงปี 2013-2016" ชื่อโครงการ | ปี 2013 ราคาบาทต่อตร.ม. | ปี 2016 ราคาบาทต่อตร.ม. | % ที่เพิ่มขึ้้น
|
1) MODE สุขุมวิท (สร้างเสร็จปี 2013) | 139,493 | 192,154 | 37.75 % |
2) THE SEEDS MEMORIES SIAM (สร้างเสร็จปี 2011) | 134,916 | 165,972 | 23.00 % |
3) THE KEY พหลโยธิน (สร้างเสร็จปี 2011) | 73,459 | 76,251 | 3.80 % |
อ้างอิงข้อมูลการเปลี่ยนแปลงของราคาคอนโดจากเว็บไซต์ hipflat เหตุผลที่เรารวบรวมมาทั้งหมดนั้น เป็นภาพรวมแบบกว้างๆ ที่โดดเด่นของทั้งคอนโดแบบ High rise และ Low rise ซึ่งก็มีทั้งข้อเด่นและข้อด้อยตามลักษณะของโครงการแตกต่างกันไป แต่ก็มีข้อยกเว้นบ้างสำหรับโครงการคอนโดเทพๆ บางแห่งที่อาจจะออกแบบได้ฉีกกฎ หรือมีแผนการตลาดเฉพาะ อย่างเช่นคอนโด High rise ที่ดูแล้วน่าจะมีผู้อาศัยเยอะจนทำให้ด้อยในเรื่องมีความเป็นส่วนตัวน้อย แต่ถ้าเจ้าของโครงการเน้นทำตลาดให้มีจุดขายที่เน้นความเป็นส่วนตัวแล้วออกแบบให้มียูนิตน้อย ข้อด้อยเรื่องนี้ก็คงได้รับการยกเว้น หรืออย่างคอนโด Low rise ทำเลเทพที่ถึงอยู่ในซอยย่อยแต่ก็มีทางลัด เดินทะลุเข้าหลังห้างได้สวยๆ แล้วเดินต่อเข้าสถานีรถไฟฟ้าได้เลย แบบนี้ก็คงต้องถือว่าคอนโดทำเลดีที่คอนโด high rise ติดถนนใหญ่คงต้องอาย ดังนั้นจะให้ดีเพื่อนๆ ที่ตัดสินใจซื้อคอนโดไม่ว่าจะเพื่ออยู่อาศัย หรือลงทุนก็ต้องพิจารณาข้อดี ข้อเสียของแต่ละโครงการด้วยการหาข้อมูล และทำการบ้านให้ดี จะได้เป็นเจ้าของห้องชุดที่มีศักยภาพ เหมาะสมกับการเป็นทรัพย์สินที่เป็น passive income ให้เราในอนาคตนะคะ
คอนโด high rise ที่ออกแบบอาคารได้โดนใจ และตั้งอยู่บนสุดยอดทำเลทองย่านอโศก
อย่างโครงการ "เดอะลอฟท์ อโศก(The Lofts Asoke)" ก็ถือเป็นอีกหนึ่งคอนโดศักยภาพดีที่น่าสนใจของนักลงทุน