"เลือก iPad รุ่นไหนดี?" คำถามยอดนิยมที่หลายคนมีอยู่ในใจ เพราะต้องยอมรับว่า "iPad" กลายเป็นไอเท็มเทคโนโลยีชิ้นสำคัญของหลายคนไปแล้ว ไม่ว่าจะอยู่วัยเรียน วัยทำงาน หรือแม้แต่สูงวัยก็ถูกใจในความสามารถของแท็บเล็ตที่ทาง Apple ตั้งชื่อให้ว่า "iPad" กัน
แต่ในปัจจุบัน Apple ได้มีการเปิดตัว iPad ออกมาด้วยกันทั้งหมด 4 ไลน์โปรดักส์ พร้อมกับปรับสเปกใหม่มีความคุ้มค่ามากขึ้นจนทำให้หลายคนลังเลใจมากว่า "จะเพิ่มอีกนิด" หรือ "เก็บเงินไปซื้ออุปกรณ์เสริม" ดี
ดังนั้นครั้งนี้ผมจึงมีเทคนิคการเลือกซื้อ iPad ให้คุ้มค่า โดนใจ และใช้งบคุ้มที่สุดมากฝากกันครับ โดยขอหยิบมาแนะนำกัน 3 รุ่นยอดนิยมนะครับ เพราะ iPad Mini เขามีกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจนอยู่แล้ว ถ้าพร้อมแล้วก็เตรียมโดนป้ายยาได้เลยครับ!
เปรียบเทียบ OVERALL COMPARE
เรามาเริ่มกันที่สเปกตัวเครื่องของทั้งสามรุ่นกันก่อนว่าแตกต่างกันอย่างไรบ้าง เพื่อที่จะได้มองภาพรวมของทั้งสามรุ่นออกว่าทาง Apple ตั้งใจวางตำแหน่งทางการตลาดของทั้งสามรุ่นไว้อย่างไรกันบ้างครับ
Specification | iPad Pro 11" | iPad Air Gen 5th | iPad Gen 9th |
DISPLAY | Liquid Retina Display LED IPS ขนาด 11 นิ้ว ความละเอียด 2388x1668 พิกเซล ความสว่าง 600 nits (Adaptive refresh rate 120Hz | True Tone) | Liquid Retina Display LED IPS ขนาด 10.9 นิ้ว ความละเอียด 2360x1640 พิกเซล ความสว่าง 500 nits (Refresh rate 60Hz | True Tone) | Retina Display LED IPS ขนาด 10.2 นิ้ว ความละเอียด 2160x1620 พิกเซล ความสว่าง 500 nits (Refresh rate 60Hz | True Tone) |
CPU | Apple M1 | Neural Engine 16 Core | Apple M1 | Neural Engine 16 Core | Apple A13 Bionic | Neural Engine 8 Core |
RAM | ROM | RAM : 8 / 16GB ROM : 128/256/512GB || 1/2TB | RAM : 8 GB ROM : 64/256GB | RAM : 8 GB ROM : 64/256GB |
Main Camera | กล้องไวด์ ความละเอียด 12MP กล้องอัลตร้าไวด์ ความละเอียด 10MP | กล้องไวด์ ความละเอียด 12MP | กล้องไวด์ ความละเอียด 8MP |
Front Camera | กล้องหน้า TrueDepth (ใช้สแกนปลดล็อคหน้าจอ) พร้อมกล้องอัลตราไวด์ 12MP | กล้องหน้าอัลตราไวด์ ความละเอียด 12MP | กล้องหน้าอัลตราไวด์ ความละเอียด 12MP |
Carrier | 5G, WiFi 6 | 5G, WiFi 6 | 4G LTE, WiFi 5 |
Apple Pencil | Support Apple Pencil Gen 2 | Support Apple Pencil Gen 2 | Support Apple Pencil Gen 1 |
Price | | Wi-Fi 64GB | ฿20,900 256GB | ฿25,900 64GB | ฿25,900 256GB | ฿30,900 | Wi-Fi 64GB | ฿11,400 256GB | ฿16,900 64GB | ฿16,400 256GB | ฿21,900 |
4 ความแตกต่างที่ต้องนำไปคิด
จากสเปกตัวเครื่องด้านบน เราก็จะเห็นได้ชัดเลยว่าทั้งสามรุ่นมีจุดแตกต่างสำคัญ! อยู่ 4 จุดใหญ่ ๆ ซึ่งเราสามารถหยิบข้อแตกต่างนี้ไปใช้เป็นตัวกำหนดได้ว่า ไลฟ์สไตล์ของเราควรจะซื้อ iPad รุ่นไหนมาใช้งาน เพื่อตอบโจทย์มากที่สุดและใช้งบประมาณที่คุ้มค่าที่สุด โดยสำหรับจุดแตกต่างทั้ง 4 จุด จะมีดังนี้ครับ
1. หน้าจอแสดงผล
หน้าจอแสดงผลของทั้งสามรุ่นนอกจากขนาดที่แตกต่างกันแล้ว ในรายละเอียดของคุณสมบัติหน้าจอแสดงผลยังเป็นอีกจุดที่แตกต่างกันพอสมควร โดยในรุ่น iPad Pro 11 นิ้ว จะเป็นรุ่นเดียวจากสามรุ่นที่หยิบมาเปรียบเทียบ ที่มีการใส่เทคโนโลยี Pro-Motion หรือ Adaptive refresh rate 120Hz เข้ามา ดังนั้นใครที่ต้องการความสมูธของหน้าจอเพื่อใช้ทำงาน ก็จะมีคำตอบทันทีเลยว่า "iPad Pro 11 นิ้ว " เท่านั้นที่ต้องการ
ในขณะที่ iPad Air 5 และ iPad Gen9th ถึงมีจะสเปกน่าจะหน้าจอแสดงผลที่ใกล้เคียงกัน แต่ในรายละเอียดเล็ก ๆ กลับมีความแตกต่างกันอยู่ โดย iPad Air 5 ทาง Apple จะมีการเคลื่อบสารกันสะท้อนมาให้บนหน้าจอ และเป็นจอภาพแบบ Full Lamination หรือเป็นจอภาพที่ชั้นของกระจกและแผงหน้าจอติดกันส่วน iPad Gen9th จะไม่ได้คุณสมบัติทั้งหมดที่กล่าวมา ดังนั้นใครที่ต้องพกพาไปใช้งานนอกสถานที่เป็นประจำ ผมก็แนะนำว่า iPad Air 5 น่าจะตอบโจทย์ได้ดีกว่าครับ
2. ชิปประมวลผลและหน่วยความจำ
มากันที่เรื่องของชิปประมวลผลและหน่วยความจำกันบ้าง โดยในด้านของชิปประมวลผลจะมีเพียง iPad Gen9th เท่านั้น ที่ใช้ชิปประมวลผล Apple A13 Bionic นอกนั้นจะใช้ชิปตัวแรงอย่าง Apple M1 ที่ถูกใช้อยู่บน MacBook โดยถ้ามองกันที่เรื่องของผลลัพธ์การใช้งาน ถ้าหากคุณไม่ได้ใช้งานแอปพลิเคชั่นที่ต้องการทรัพยากรตัวเครื่องสูง อย่างเช่น โปรแกรมตัดต่อวีดีโอ, ตัดต่อภาพต่าง ๆ หรือรันทดสอบ Coding อะไร
ทั้งสามรุ่นถือว่าให้ผลลัพธ์การใช้งานที่ไม่แตกต่างกันในด้านของการใช้งานทั่วไปนะครับ ดังนั้นแนะนำว่าเรื่องจากความสนใจได้เลย ถ้าอยากลองความแรงของ M1 และงบถึง iPad Air 5 ก็จะเป็นรุ่นที่คุ้มค่า แต่ถ้าไม่ได้โฟกัสอะไร ขอแค่ใช้งานทั่วไปลงตัว Apple A13 Bionic ก็พอแล้ว
หน่วยความจำ (ROM) เป็นอีกจุดที่ทาง Apple ใส่เป็นกริมมิกไว้ โดยจะมีเพียงรุ่น iPad Pro 11 นิ้ว เท่านั้น ที่สามารถเลือกหน่วยความจำได้หลากหลายตั้งแต่ 128GB ไปจนถึง 2TB เลยทีเดียว ในขณะที่ iPad Air 5 และ iPad Gen 9 จะมีหน่วยความจำให้เลือกเพียงสองขนาดเท่านั้น คือ 64 และ 256GB
กล้องถ่ายรูปเป็นจุดแตกต่างที่ส่วนตัวผมมองว่า Apple เขายังใจดีไม่กักสเปกมากนัก เพราะทั้งสามรุ่น Apple เลือกใส่กล้องหน้าเลนส์ไวด์ความละเอียด 12MP พร้อมคุณสมบัติจัดให้อยู่ตรงกลางเฟรมเท่ากันทุกรุ่น ซึ่งจะมีเพียงกล้องหน้าของ iPad Pro 11 นิ้ว ที่เป็นกล้อง Truedepth ใช้สแกนใบหน้าเพื่อปลดล็อกได้
กล้องหน้าจะเป็นกล้องที่เราต้องใช้งานบ่อย เพื่อใช้ประชุมออนไลน์หรือเรียนออนไลน์ รวมถึงบางคนนำไปใช้ไลฟ์ขายของด้วยนั่นเอง ดังนั้นเราสามารถซื้อเพียง iPad Gen 9 ก็สามารถตอบโจทย์ในด้านนี้ได้แล้ว
เพียงแต่ถ้าใครชอบถ่ายภาพเซลฟี่จาก iPad เป็นชีวิตจิตใจ จะมีเพียง iPad Pro เท่านั้น ที่จะได้คุณสมบัติการละลายฉากหลังให้สมจริง และการปรับฟีเจอร์แสงเอฟเฟ็กต์ 6 แบบพิเศษเหมือนบน iPhone ในขณะที่กล้องหลังทั้งสามรุ่นจะแตกต่างกันทั้งหมด ดังนั้นถ้าใครติดใช้กล้องจาก iPad ถ่ายแทนการใช้สมาร์ตโฟน ก็แนะนำว่าให้ลองพิจารณาดูตามความชอบได้เลย
โดย iPad Gen 9 จะมาพร้อมกล้องหลังเป็นกล้องไวด์ความละเอียด 8MP (F2.4) ซูมดิจิทัล 5 เท่า ด้าน iPad Air 5 จะมาพร้อมกล้องหลังไวด์เช่นกันความละเอียด 12MP (F1.8) ซูมดิจิทัล 5 เท่า ในขณะที่พี่ใหญ่อย่าง iPad Pro 11 นิ้ว ก็จะได้ของที่ครบเครื่องเพราะจะได้กล้องหลัง 2 ตัว โดยกล้องหลักเป็นเลนส์ไวด์ความละเอียด 12MP (F1.8) และมีกล้องอัตราไวด์ความละเอียด 10MP (F2.4) มาให้ด้วย ทำให้สามารถซูมภาพแบบ Optical ได้ 2 เท่า และซูมดิจิทัลได้ 5 เท่า
4. รายละเอียดอื่น ๆ ที่เราสนใจเป็นพิเศษ
สุดท้ายคือรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่แต่ละคนมีความต้องการหรือความสนใจที่แตกต่างกัน ก็นำประเด็นนี้หยิบมารวมเป็นปัจจัยในการเลือกซื้อด้วย เพราะรายละเอียดเหล่านี้จะยิ่งทำให้การตัดสินใจของเรามีน้ำหนักที่มากขึ้นเยอะ อาทิ ระบบยืนยันตัวตนเข้าเครื่อง ถ้าใครชอบสไตล์แตะปุ่มโฮมแบบดั่งเดิมก็จะมีเพียง iPad Gen 9 เท่านั้นที่ให้ได้
ส่วนถ้าใครชอบแตะสแกนจากปุ่ม Power ก็จะมี iPad Air 5 ที่ใส่มา ส่วนถ้าใครชอบแบบปลดล็อคด้วยใบหน้าแน่นอน iPad Pro 11 รุ่นเดียวเท่านั้น หรือจะเป็นเรื่องการรองรับเครือข่าย ที่จะมีเพียง iPad Gen 9 เท่านั้นนะครับที่รองรับ 4G LTE นอกนั้นจะรองรับเครือข่าย 5G ได้แล้ว
บทสรุป (Conclusion)
สำหรับบทสรุปส่งท้ายเชื่อว่ามาถึงตรงนี้หลายคนน่าจะเลือกรุ่น iPad ในใจได้แล้วว่า รุ่นไหนที่ตอบโจทย์การใช้งานได้ตรงกับสิ่งที่เราต้องการ ส่วนถ้าใครยังตัดสินใจไม่ได้ผมก็อยากสรุปให้เลยครับว่า ถ้าอยากได้เพื่อนำไปใช้เรียน-ประชุม-ขายของออนไลน์ ด้วยงบที่ "จำกัด" iPad Gen 9 ก็เพียงพอแล้วครับ
ส่วนถ้าใครที่พอมีงบขยับมาได้ รวมทั้งอยากได้เรื่องของดีไซน์ ความสดใหม่ของฮาร์ดแวร์ "iPad Air 5" เป็นรุ่นที่ส่วนตัวผมจัดให้เป็น "Best Value Choice" ที่สุดแล้วล่ะครับ เพราะได้ทั้งเรื่องของความสดของฮาร์ดแวร์ และยังได้ดีไซน์สไตล์ใหม่ที่ไร้ปุ่มโฮม บนราคาที่ยังพอเข้าถึงได้ ถึงแม้จะโดนตัดสเปกไปบ้าง แต่โดยรวมบอกเลยว่า "เหลือ ๆ "
แต่สำหรับใครที่งบไม่ใช่ปัญหา ต้องการความสุดของ iPad แน่นอนว่า iPad Pro Series คือคำตอบโดยที่คุณไม่ต้องมาเลือกตัวเลือกให้เสียเวลา ที่ต้องทำแค่เลือกขนาดหน้าจอที่ตัวเองขึ้นว่าชอบได้เลย เพราะระหว่างรุ่น 11 นิ้ว และ 12.9 นิ้ว หน้าจอแสดงผลจะเป็นข้อแตกต่างหลักของทั้งสองรุ่น สุดท้ายนี้ก็หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้ใครที่กำลังลังเลใจในการเลือกซื้อ iPad รุ่นใหม่ มีคำตอบในใจกันทุกคนนะครับ