ฮอนด้าเอาใจสายสปอร์ต CBR Series ให้สาวกปีกนกบิดสนั่นแทร็คในกิจกรรม Track Xperience 2020
ฮอนด้า บิ๊กไบค์ จัดกิจกรรมสุดเอ็กซ์คลูซีฟ Track Xperience 2020 ชวนลูกค้านักบิดสายสปอร์ตเปิดประสบการณ์การขี่แบบเซอร์กิต พร้อมสัมผัสเทคโนโลยีรถแข่งที่ถ่ายทอดอยู่ในรถสปอร์ตยอดนิยมของตระกูล CBR Series ครบทุกโมเดล
เช้าวันแรกสำหรับกิจกรรม
Track Xperience เริ่มจากร่วมฟังบริฟกฎกติกาและมารยาทในการใช้สนามจากทางเจ้าหน้าที่ และแนะนำขั้นตอนพื้นฐานการขี่ในสนามแข่งจากทีมผู้ฝึกสอน จากจำนวนผู้เข้าร่วมกิจกรรมฯ มากกว่า 100 คน แน่นอนว่าระดับประสบการณ์ขี่ย่อมมีความแตกต่างกัน จึงมีการแบ่งกลุ่มขี่ตามความสามารถ เริ่มจาก โปรฯ, แอดวานซ์, เอ็กเพอเรนซ์ และรุคกี้ โดยให้เวลาต่อเซสชั่นการขี่ของแต่ละกลุ่มอยู่ที่ 20 นาที สลับไล่เรียงทั้งวัน คือ 1 วันต้องได้ขี่คนละ 5 เซสชั่น คิดเป็นเวลาขี่รวมก็ประมาณ 1 ชั่วโมง 40 นาที ต่อวัน นับเป็นการเปิดให้ขี่กันอย่างจุใจ นอกจากนี้ตอนขี่ก็มีผู้ฝึกสอนซึ่งมีดีกรีนักแข่งทีมฮอนด้ามานำและคอยดูความถูกต้องให้ระหว่างขี่ด้วย ในส่วนของสื่อมวลชนที่ได้รับโอกาสเข้าร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ ซึ่งมีทีมงานเพจ
มอเตอร์ไบค์กูรู เว็บไซต์ CHECKRAKA.COM ด้วยนั้น ก็ได้ลงขี่ทั้งสองวันเต็มปนไปกับลูกค้าฮอนด้าบิ๊กไบค์ในหลายกลุ่มเพื่อลองขี่รถตระกูล CBR series ให้ครบทุกรุ่นตั้งแต่
CBR1000RR จนถึง 150R
ตลอด 2 วันของกิจกรรมทีมงานได้ลองขี่สัมผัสสมรรถนะและคาแรคเตอร์ที่แตกต่างกันของ CBR ในแต่ละคลาส ไล่ตั้งแต่รุ่นใหญ่สุด
CBR1000RR SP (779,000 บาท) ที่ให้พลังถึง 189 แรงม้า ที่ 13,000 รอบต่อนาที ให้อัตราเร่งที่เร้าใจตั้งแต่เริ่ม ขี่สนุกตอบสนองทันใจทุกจังหวะ การขี่ในสนามทำได้เต็มที่เสมือนรถอยู่ถูกที่
ยิ่งได้ยางสลิคจาก Pirelli ยิ่งทำให้ขี่อย่างมั่นใจมากขึ้นในทุกรอบที่ขี่ ด้าน
CBR650R ยังให้ความสนุกของการขี่ในสนามไม่น้อยหน้ารุ่นใหญ่ กับการพัฒนาใหม่ล่าสุดในหลายๆ จุด แม้ท่านั่งจะไม่ถึงกับรับการขี่ในสนามเท่ารุ่นพี่ก็ตาม แต่พลังและความสมูธในการถ่ายทอดเกียร์ต่อเกียร์ ตลอดจนช่วงล่าง และราคาค่าตัว 324,260 บาท นับเป็นสปอร์ตบิ๊กไบค์ที่เหมาะกับการครอบครองได้ง่ายรุ่นหนึ่ง ถัดมาเป็น
CBR500R ที่รูปลักษณ์ภายนอกกลมกลืนและเหมือนรุ่นพี่ CBR650R อยู่พอสมควร เป็นสปอร์ตบิ๊กไบค์ที่เอื้อการใช้งานกว้าง ออกแบบมาให้ขี่ง่าย และมีราคาไม่แพง 219,800 บาท อาจเป็นรถสำหรับผู้ที่เน้นใช้งานในชีวิตประจำวันเป็นหลักแต่ยังพอนำมาขี่ในสนามได้ด้วย สำหรับน้องเล็กสายซูเปอร์สปอร์ต
CBR250RR ตัวแรงเน้นขี่สนุกทั้งถนนและในสนามแข่ง งานเมดอินแจแปน ให้ท่านั่งสุดซิ่งเหมือนรุ่นพี่ CBR1000RR ลากรอบกันสะใจ ด้วยขนาดความจุ 249 ซีซี น้ำหนักตัว 168 กก. ทำให้การควบคุมทำได้ง่ายและสบายๆ สำหรับมือทุกระดับ แม้นำมาวิ่งในช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต สนามแข่งระดับโมโตจีพีแต่ CBR250RR ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง ตรงกันข้ามเป็นรถที่นำออกไปขี่ได้ไม่รู้เบื่อจริงๆ ถ้าใครอยากได้สปอร์ตไลค์เวทไว้เน้นขี่แทร็คเดย์ แต่มีเวลาขี่รถไม่เยอะในชีวิตปกติ ตลอดจนไม่อยากลงทุนกับตัวรถมากเกินไป ราคา 249,000 บาท ของน้องเล็ก CBR250RR น่าจะตอบโจทย์ได้เป็นอย่างดี รุ่นสุดท้ายที่ไม่คิดว่าจะได้ขี่ในสนามก็คือ
CBR150R นับเป็นการเปิดโอกาสที่กว้างสำหรับผู้ใช้รถมอเตอร์ไซค์ฮอนด้าจริงๆ อย่างไรก็ตามก็อาจเป็นส่วนน้อยมากๆ ที่นำรถรุ่นนี้มาขี่กันในสนาม เพราะถ้ามีโอกาสขี่แทร็คระดับโลกก็มักนำรถที่ตอบสนองได้มากที่สุดมาขี่ ในส่วนของทีมงานที่ได้ลองขี่ก็พบว่า รถในสภาพเดิมทุกจุดแม้กระทั่งยางสามารถยึดเกาะและเข้าโค้งได้อย่างสนุก แต่เมื่อถึงช่วงทางตรงพละกำลังที่จำกัดก็อาจลดทอนความสนุกและมันกับการขี่แทร็คเดย์ลงไปบ้าง เอาเป็นแค่ประสบการณ์ขี่ในสนามกับคลาส 150 เดิมๆ
ท้ายที่สุดและสุดท้ายจริงๆ เป็นรุ่นที่ไม่ได้เตรียมตัวมาขี่เลย ไม่ใช่รถตระกูลสปอร์ต CBR แต่เป็น
Super Cub รุ่นล่าสุดขนาดเครื่องยนต์ 109 ซีซี ที่นำมาวิ่งใช้งานทั่วไปในสนาม แต่เมื่อมีโอกาสทีมสื่อมวลชนจึงนำมาลองขี่ปิดท้ายกันกิจกรรมเพื่อสร้างสีสันแปลกใหม่ พร้อมกับนำไปสตาร์ทที่กริดในแทร็คจริงๆ ไม่ต้องออกจากพิทเหมือน CBR ด้วยความที่เป็นรถใช้งานรูปลักษณ์แนวเรโทรทำให้การขี่ด้วยความคุ้นชินรถสปอร์ตต้องระวังมากขึ้น แต่ก็
บิดท่องแทร็คกันไปอย่างสนุกสนานจนครบรอบสร้างรอยยิ้มให้กับกลุ่มลูกค้าที่เห็นและผู้ขี่เอง จะว่าไปเป็นรุ่นที่ขี่ยากสุดในกิจกรรมครั้งนี้แล้ว
ความสนุกสนานแบบนี้เกิดขึ้นได้เสมอขอเพียงเป็นเจ้าของรถบิ๊กไบค์ฮอนด้าและสมัครเข้ามาร่วมกิจกรรมผ่านทางฮอนด้า บิ๊กวิงก์ น่าเสียดายที่กิจกรรมรับได้จำนวนจำกัดแม้เปิดรับไม่ต่ำกว่าร้อยคัน แต่ก็ยังไม่เพียงพอมีหลายคนที่สมัครไม่ ดังนั้นสนามหน้าในเดือนพ.ย. ก็เตรียมตัวสมัครกันให้เร็ว สอบถามจองคิวไว้กับทางฮอนด้า บิ๊กวิงก์ใกล้บ้านได้เลย