ปี 2023 ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในไทยมีรถจักรยานยนต์หลากหลายรุ่นเปิดตัวและเข้ามาให้ทีมงานมอเตอร์ไบค์กูรูได้ทดสอบ ก็ต้องขอบคุณค่ายรถจักรยานยนต์ทั้งหลายที่ให้ความไว้วางใจในการเทสโปรดักส์ใหม่ๆ ไม่ว่าเป็นทริปกลุ่มหรือนำมาขี่เทสแบบจริงจังเฉพาะก็ตาม ทำให้เราแทบไม่พลาดในการสัมผัสและเก็บรายละเอียดของจักรยานยนต์รุ่นใหม่ หลายรุ่นเรามีเวลาขี่เทสแตกต่างกันไปตามกำหนดการของผู้จัด แต่ส่วนใหญ่ก็มีเวลามากพอที่จะพอสรุปถึงภาพรวมของรถรุ่นนั้นๆ ให้ได้ทราบกัน
ซึ่งที่ผ่านมา
ในรอบปีเราได้ลองทั้งจักรยานยนต์คลาสเล็ก, สกู๊ตเตอร์ ตลอดจนบิ๊กไบค์หลากหลายประเภท ซึ่งล้วนแต่น่าประทับใจ ทำให้ยากต่อการตัดสินใจเลือกว่าคันไหน รุ่นใดชอบที่สุด ผู้เขียนจึงต้องอาศัยหลายปัจจัยมาช่วยตัดสินเลือก 3 รุ่นรถที่ขี่แล้วชอบ ลองแล้วใช่ เช่น สมรรถนะ, ความง่ายในการขี่, รูปลักษณ์ และความคุ้มค่า จนในที่สุดได้
3 รุ่นรถที่จัดว่าโดนใจสุดของปี 2023 ดังนี้ 1. ยามาฮ่า Tracer 9 GT จากการขี่ออกทริปไป-กลับเขาใหญ่ พอสรุปได้ว่า ตัวรถตอบสนองการควบคุมได้ดี พละกำลัง เกียร์ และเบรกทำงานประสานกันลงตัว การเพิ่มลดเกียร์เปิดยกคันเร่งและเบรกเป็นไปอย่างสมูธทำให้การคุมรถไม่เครียด และยังสนุกไปกับการลีนเข้าโค้งอย่างมั่นใจ โดยยางเป็นบริดจสโตน Battlax Sport Touring T32 ที่ติดตัวรถมาจากญี่ปุ่น หลังจากพักเก็บภาพบรรยากาศกันสักพักใหญ่ก็เดินทางกันต่อเพื่อมุ่งหน้าไปพักรับประทานอาหารกลางวันที่ร้านแดรี่โฮมก่อนกลับเข้าสู่ถนนมิตรภาพขี่ยาวกลับเข้ากรุงเทพฯ โดยไปท้าทายการขับขี่ในช่วงสุดท้ายกับสภาพการจราจรติดขัดบนถนนประเสริฐมนูกิจ บิ๊กไบค์อย่างยามาฮ่า TRACER 9 GT ใหม่ ยังเด่นในด้านความคล่องแคล่วอย่างไม่น่าเชื่อ สามารถเลาะเลี้ยวสอดแทรกช่องว่าง เปิดยกคันเร่ง ชะลอหยุดไปต่อได้อย่างไม่เหนื่อย ตัวรถให้สมดุลที่น่าประทับใจคุมง่ายในช่วงความเร็วต่ำ กับระยะทางกว่า 356 กม. อัตราสิ้นเปลืองที่ขี่กันแบบไม่มียั้งได้ราว 10 กม./ล. ชอบสมรรถนะ ขี่ง่าย ทันสมัย แต่ท่านังที่สปอร์ตกว่าบิ๊กไบค์ทัวร์ริ่งทั่วไป พักเท้าเยื้องมาทางด้านหลังมากหน่อยทำให้ขี่นานๆ แล้วมีอาการเมื่อยหัวเข่าอยู่บ้าง ซึ่งก็แล้วแต่คนและการขี่ต่อเนื่องมากน้อย โดยรวมเป็นบิ๊กไบค์สปอร์ตทัวร์ริ่งที่เน้นอารมณ์สปอร์ตออนโร้ด สมรรถนะแรง สุ่มเสียงเร้าใจ ด้วยราคา 569,000 บาท ตอบโจทย์คนมีแพสชันได้อย่างแน่นอน
จากการได้ลองขี่ 2 รอบจากวันเปิดตัวและนำมาขี่เดี่ยว ก็ได้ข้อสรุปที่ลงตัวว่า GIORNO+ เป็นสกู๊ตเตอร์สไตล์โมเดิร์นคลาสสิคที่ขี่ง่าย คล่องตัว น้ำหนักเบา คอนโทรลการขี่ในเมืองได้ดี การชะลอเบาเบรกทำได้อย่างน่าพอใจ หน้าจอสวยเห็นข้อมูลชัด ที่เก็บของใต้เบาะกว้างและใส่ของได้เยอะ ช่วงล่างเซ็ตติ้งมากำลังดี ไม่อ่อนหรือแข็งเกินไป เบาะนั่งสบายตลอดการทดสอบตัวไม่ไหลหน้า-หลัง สุดท้ายคือ ตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองทำได้ระดับ 48 กม./ล. นับว่าน่าพอใจมากๆ เหมาะกับเป็นสกู๊ตเตอร์เก๋ๆ ที่ขี่ไปไหนในเมืองจริงๆ ส่วนค่าตัวรุ่นที่ลองเป็น ABS อยู่ที่ 66,900 บาท
การได้ขี่ ยามาฮ่า NMAX 2 ครั้งล่าสุดแตกต่างกันระหว่างขนาด 155 ในไทยกับ 125 ในญี่ปุ่น แต่ความโดดเด่นรอบด้านแทบไม่แตกต่างกัน โดยรุ่นแรก NMAX 155 abs (97,000 บาท) เป็นการขี่ไป-กลับ กทม.- พัทยา ให้ความประหยัดระดับ 43 กม./ล. ขี่ทางไกลชอบมาก ตำแหน่งหน้าจอที่มองง่ายเพียงแค่เหลือบสายตาก็เห็นข้อมูลได้ชัดทำให้ขี่ไกลจนแสงหมดก็ยังสบาย อรรถประโยชน์จากช่องเก็บของใต้เบาะไว้สำหรับคนมีของเยอะเวลาเดินทางก็ช่วยลดภาระได้เยอะ ขี่ทริปนี้หวดได้ยาวๆ ต่อเนื่องไม่ต้องกังวลมากเพราะไปกันหลายคัน เสมือนกรออกทริปกับเพื่อนซึ่ง 155 ตอบโจทย์ได้ดีมาก
ทริปที่ญี่ปุ่นได้ขี่ ยามาฮ่า NMAX 125 ขี่คนเดียวแบบวันเดียว ระยะทางจากโตเกียวไปชายทะเลยุยกาฮามะในคามากุระ คานากาว่า ไป-กลับ 134 กม. สตาร์ทจากแถว อิเคบุคุโระ การขี่ในญี่ปุ่นกับไทยแตกต่างกันมาก ยิ่งขี่คนเดียวเป็นครั้งแรก ทำเวลาเดินทางไม่ได้เลยเพราะแยกสัญญาไฟจราจรเยอะมาก และมีการคุมความเร็วที่เข้มงวด แถมยังโดนจำรวจจับขากลับอีกด้วย อย่างไรก็ตามการเลือกใช้ NMAX 125 เป็นพาหนะนับเป็นความคิดที่ถูกต้องเพราะสะดวก ใส่ของได้สบาย และคล่องตัว ที่สำคัญคือ คุ้นมือนั่นเอง ขี่ได้ทั้งวันไม่เหนื่อยล้าเหมือนรถใหญ่ จบทริปนี้ได้อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยบนหน้าจออยู่ที่ 43 กม./ลิตร ! เท่ากับ 155 ที่ขี่ในไทย ตอกย้ำการเป็นสกู๊ตเตอร์ที่ดีรอบด้านจริงๆ และยังให้ความคุ้มค่าตัวมากที่สุดอีกด้วย
.