New Honda CBRseies 2023 สปอร์ตบิ๊กไบค์ 2 รุ่นใหม่ล่าสุดจากฮอนด้ามากับดีไซน์ใหม่พร้อมคอนเซปต์
’Ignite the race’ ในรุ่น
500R และ
'Race like a pro' ในรุ่น
650R เริ่มกันที่ ฮอนด้า CBR500R ใหม่หมด ! กับเครื่องยนต์แรงทรงพลังพร้อมจุดประกายจิตวิญญานนักแข่งในตัวคุณ ไม่จำกัดความแรงแค่ในสนามแข่ง แต่ยังพาคุณโลดแล่นไปกับเทคโนโลยีรถแข่งบนถนนจริง ให้ลุคสปอร์ตและดุดันขึ้นในหลายจุด เช่น ไฟหน้า LED แบบสปอร์ตสไตล์รถแข่งมองเห็นกว้างขึ้นแม้ตอนกลางคืน, ไฟท้ายแบบใหม่แยกไฟเบรกพร้อมสัญญานไฟกะพริบฉุกเฉินตอบสนองอย่างรวดเร็วเมื่อต้องเบรกกระทันหัน, เรือนไมล์ใหม่แบบดิจิตอล TFT สี ขนาด 5 นิ้ว แสดงค่าต่างๆ ได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น พร้อมเชื่อมต่อกับระบบ Honda RoadSync เพิ่มความสะดวกสบายทุกการเดินทาง, เครื่องยนต์แมพพิ่งใหม่พร้อมกับระบบ Assist Slipper Clutch ลดการกระชากเมื่อต้องเปลี่ยนเกียร์กระทันหัน, โช้กอัพหน้าแบบหัวกลับขนาดใหญ่ 41 มม. ช่วยดูดซับแรงกระแทกและอาการสะเทือนของตัวรถได้ดี และระบบเบรกแบบดิสก์คู่พร้อมคาลิปเปอร์แบบเรเดียลเม้าท์แบบเดียวกับรถแข่งช่วยให้การเบรกดีในทุกจังหวะ
ส่วนรุ่นท็อป
ฮอนด้า CBR650R ใหม่หมด ! ที่ถอด DNA ตัวแรงในสนามแข่งออกมาได้ชัดเจนยิ่งขึ้น เพื่อให้ฟิลลิ่งการขี่แบบนักแข่งมืออาชีพมากขึ้นด้วยขุมพลังเครื่องยนต์ 4 สูบขนาด 650 ซีซี พร้อม Assist Slipper Clutch ลดแรงกระชากขณะเปลี่ยนเกียร์ ส่วนความโดดเด่นก็เช่นเดียวกับการปรับเปลี่ยนในรุ่น CBR500R
ส่วนการลองขี่ทดสอบในสนามทั้ง 2 รุ่น เริ่มจากเซสชั่นแรกกับรุ่น
CBR500R สีดำ ผู้เขียนใช้เวลาไม่กี่รอบก็เริ่มคุ้นชินรถกับเลย์เอ้าท์ของสนามแก่งกระจาน จริงๆ ก็คือ เคยขี่รุ่นนี้มาหลายครั้งทั้งในสนามและถนน รวมทั้งการขี่ในสนามแก่งกระจาน เพียงแต่หาเกียร์ที่ลงตัวในแต่ละโค้งที่ต้องเข้าออก ขับขี่รุ่นนี้ไป 2 เซสชั่น เช้าบ่าย พอสรุปได้ว่าเป็นสปอร์ตบิ๊กไบค์ที่เหมาะกับการขี่บนถนนเปิดโล่งมากกว่าในแทร็ค แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าขี่ในสนามแล้วจะไม่สนุก
ถ้าคุณกำลังเริ่มต้นการขี่ 500R ช่วยให้คุมพลังได้ง่ายกว่า ตัวรถเบา องศาที่ไม่ต้องลีนมากจนครูดกับพักเท้า และลงทุนเริ่มต้นด้วยงบประมาณที่ไม่สูงมาก จนกว่าจะมั่นใจว่าอยากขยับไปต่อ ส่วนใครที่มีประสบการณ์ขี่ในสนามมาพอสมควร ต้องการบิ๊กไบค์ที่ตอบโจทย์การขี่แบบรถสนามในราคาที่จับต้องได้ก็เทียบกับ 600RR กับ 1000RR ที่ราคาโดดไปแบบจริงจังสุดๆ ก็ต้อง
CBR650R เพราะยังไว้ขี่เล่นบนถนนได้
ด้วยขุมพลัง 4 สูบ นั้นให้ความเร้าใจตั้งแต่สตาร์ทเครื่องยนต์ เสมือนการเร่งอะดรีนาลีนในตัวให้พร้อมทะยานไปข้างหน้า การเดินคันเร่ง เบรก เปลี่ยนเกียร์ แตกต่างจาก 500R แบบชัดเจน ส่วนตัวคือ สนุกเร้าใจมากกว่า แต่ก็ต้องแลกมาด้วยสมาธิมากขึ้นเช่นกัน เป็นรุ่นที่ขี่สนามได้เรื่อยๆ ทั้งวันจริงๆ ตำแหน่งท่าขี่ การลีนเข้าโค้ง การควบคุมในโค้ง ชะลอเบาเบรก ล้วนแต่เอื้อให้ไรเดอร์สายซิ่งได้สนุกและคุ้นชินได้ง่ายไปกับตัวรถจริงๆ แค่ได้ลองไมกี่รอบก็จับจังหวะของตัวเองกับสนามได้ไม่ยาก น่าจะเป็นรุ่นที่ลงตัวสำหรับคนรักการขี่ในแทร็คมากกว่า 500R
ด้วยราคา 222,800 บาท และ 327,300 บาท ในรุ่นปกติ (ไม่ใช่ E-clutch) ครอบคลุทไบค์เกอร์ขาซิ่งทั้งอยากเริ่มต้นกับสปอร์ตบิ๊กไบค์หรือต้องการฟิลลิ่งใกล้เคียงตัวแรงในสนามจริง 2 แบบนี้ต่างกันราว 1 แสนบาท นับว่าต่างกันพอสมควร แม้สเปคภายนอกดูใกล้เคียงกัน แต่ถ้าได้ลองเองแล้วก็จะพบว่าด้วยท่านั่งและพลังจากเครื่องยนต์นั้น ให้ความต่างที่ทดแทนกันไม่ได้ ถ้าคุณเป็นสายสปอร์ตตัวจริง เน้นเข้าร่วมกับกิจกรรมแทร็คเดย์ CBR650R คือตัวเลือกที่ใช่กว่า แต่ถ้าเน้นขี่ถนนฟิลสปอร์ตและลงแทร็คบ้าง หรือเพิ่งเริ่มต้นกับบิ๊กไบค์เลือก CBR500R ก็เหมาะกว่า สุดท้ายทางเลือกไหนอยู่ที่ใจครับ