หลังจาก
Royal Enfield เปิดตัว
Meteor กับเครื่องใหม่ 350 ซีซี ที่ปรับปรุงใหม่หมดใส่บาลานซ์ชาร์ฟลดอาการ "เจ้าเข้า" เรียบร้อย เมื่อมีรภทรงครุซเซอร์ก็ต้องมีรุ่นให้ตรงตำนานของ รอยัล เอนฟิลด์ เองด้วยการผลิต Royal Enfield รุ่น Classic 350 สุดคลาสสิกและมีหลายสีหลายแบบให้เลือกตามความชอบ
Royal Enfield classic 350 มอเตอร์ไซค์คลาสสิกระดับตำนานที่ฉลองครบรอบ 120 ปี มาพร้อมเครื่องยนต์ 1 สูบ 349 cc หัวฉีด ระบายความร้อนด้วยอากาศ เสริมบานลานเซอร์ลดการสั่นสะเทือน กำลังสูงสุด 20.2 แรงม้า ที่ 6,100 รอบ/นาที แรงบิด 27 นิวตันเมตร ที่ 4,000 รอบ/นาที เกียร์ 5 จังหวะ ดิสก์เบรก 2 ล้อพร้อม ABS 2 chanal
ทางรอยัล เอนฟิลด์จัดทริปทดสอบ 1 วันเต็ม เส้นทางจากตึก CW รัชดากรุงเทพฯ ถึงจังหวัดอยุธยา โดยการขับชมเมืองและไหว้พระพร้อมแวะร้านอาหารเครื่องดื่มร้านดังของอยุธยา ใช้ระยะทางรวมทั้งหมดราว ๆ 200 กม.
การทดสอบ Royal Enfield classic 350 เริ่มจากท่านั่งการขับขี่ที่สบายไม่เมื่อยมากนัก ตัวเบาะนั่งจะหนาและแข็งไม่ยุบตัวมากนัก ระดับแฮนด์ไม่ต่ำจนเกินไป แต่ตำแหน่งนั่งจะรู้สึกว่าสูงกว่าใน Meteor สวิตช์บนแฮนด์ฝั่งซ้ายและขวาใช้งานง่ายแม้จะใส่ถุงมือ กระจกมองข้างมองได้ชัดเจนไม่หลอกและมุมค่อนข้างกว้าง ที่สำคัญ "ไม่สั่นกระพรือ" เหมือนรุ่นแรกแล้วครับ
สมรรถนะอัตราเร่งบิดติดมืองในรอบต่ำ ตอบสนองได้ดี เสียงท่อเร้าใจตามสไตล์ 1 สูบ ระบายความร้อนแบบอากาศตรงคอนเซ็ปต์รถคลาสสสิก ให้แรงดึงหรือทอร์คในรอบต่ำดี ทำให้ออกตัว แรงแซงในช่วงความเร็วต่ำถึงกลางเพียงพอต่อการใช้งาน เครื่องยนต์ไม่สั่นเหมือนในรุ่นยุคแรก ๆ ของรอยัล เอนฟิลด์ ขับสบายขึ้นเยอะ ส่วนความเร็วปลายนั้นถูกล็อคอันไว้ที่ 120 กม./ชม. เพราะถูกจำกัดด้วยข้อกำหนดด้านมลพิษในประเทศไทยนี่เอง ซึ่งคาดว่าถ้าไม่ถูกล็อคไว้น่าจะทำความเร็วสูงสุดได้ 160 กม./ชม.ทีเดียวครับ
ระบบช่วงล่างที่ค่อนข้างนิ่งไม่นิ่มมากนัก แอบแข็งเล็กน้อย แต่ก็อยู่ในเกณฑ์รับได้ การทรงตัวในความเร็วต่ำทำได้ดี แต่ที่ความเร็วสูงอาจจะมีอาการ "แกว่งบ้าง" ตามสไตล์รถคลาสสิส ตัวถังเหล็กน้ำหนักเยอะหน่อย เพราะความจริงแล้วเน้นขับในความเร็วไม่สูงมากครับ
ระบบเบรกนุ่มมือ ตอบสนองไว้มาก โดยเฉพาะเบรกหลังในบ้างครั้งหากเหยียบแรงไป ล้อมีการล็แและลื่นเล็กน้อยก่อนที่ระบบ ABS จะทำงาน ส่วนเบรกหน้าถือว่าใช้งานได้ดีตอบสนองไว้และยิ่งใช้พร้อม ๆ กันก็ยิ่งมั่นใจมากขึ้นครับ
แม้ Royal Enfield classic 350 จะคันใหญ่น้ำหนักเยอะ แต่เมื่อขับขี่จริงกลับควบคุมง่ายและไม่หนักมากจุดศูนย์ที่ต่ำ ไม่ต้องใช้แรงในการยืนรับน้ำหนักมากเท่าไหร่นัก และมุมเลี้ยวของแฮนด์ก็นับว่าไม่แคบเกินไปให้ความคล่องตัวพอสมควรครับ และยังประหยัดน้ำมันเกินคาดอีกด้วย โดยตลอดทริปใช้น้ำมันไปเพียง 3 ขีดเท่านั้น
Royal Enfield classic 350 เหมาะกับผู้ที่ชื่นชอบความเก่า ย้อนยุค คลาสสิกแบบมีเอกลักษณ์ เน้นขับชิลไม่เน้นความเร็ว และราคาประหยัดเข้าถึงง่ายแถมดูแลง่ายอีกด้วยครับ มีให้เลือก 4 รุ่นย่อย 9 สี ตามสไตล์ความชื่นชอบคือ
- Classic Chrome 155,000 บาท รุ่นพรีเมี่ยมท็อปสุดด้วยการใช้ชิ้นส่วนโครเมี่ยมในหลายจุดเพิ่มความคลาสสิกที่แท้จริงตามแบบฉบับรถจักรยานยนต์อังกฤษตั้งแต่ปี 1950 ที่เน้นความเงางามทั้งคันมี 2 สี Chrome Red และ Chrome Bronze
- Classic Signals 147,000 บาท ย้อนตำนานรถกองทัพอังกฤษพร้อมตราสัญลักษณ์และกราฟฟิกรวมถึงหมายเลขตัวถังน้ำมันที่ไม่ซ้ำกันและมี 2 สีคือ Marsh Grey และ Desert Sand
- Dark Series 154,000 บาท สะท้อนความเป็นวันรุ่น ทันสมัยขึ้นโดยมาพร้อมกับโทนสีดำและล้ออัลลอยแบบไม่มียางในมี 2 สีคือ Stealth Black และ Gunmetal Grey
- Halcyon Series 139,900 บาท เป็นรุ่นคลาสสิกดั้งเดิมเฉลิมฉลองมรดกตกทอดของ Classic นับเป็นรถที่ให้รูปลักษณ์ย้อนยุคตัวจริงมีให้เลือก 3 สี Green, Grey และ Black