
"เครื่องรูดบัตรเครดิตพกพา mPOS" นวัตกรรมใหม่ของวงการรูดปื๊ด
"รับบัตรเครดิตมั้ย?" ประโยคคำถามสุดคลาสสิกที่ร้านค้าทั้งหลายต่างต้องเคยได้ยินคำถามนี้หลุดออกมาจากปากของลูกค้าที่มาช้อปปิ้งหรือใช้บริการในร้านของตัวเองกันแทบทั้งสิ้น เพราะยุคนี้การใช้จ่ายด้วยบัตรพลาสติกถือเป็นเครื่องมือที่สุดแสนจะสะดวกสบาย ดังนั้นร้านค้าหรือเจ้าของบริการไหนที่มีเจ้าเครื่องรูดบัตรเครดิตไว้คอยให้บริการลูกค้าก็มักจะปิดการขายได้ไวกว่าร้านค้าที่ไม่รับบัตรฯ บทความนี้เราเลยจะขอพาคุณไปทำความรู้จักและอัพเดตสองเทคโนโลยีของเครื่องรูดบัตรเครดิต ที่มีให้บริการอยู่ในตอนนี้ กับเทคโนโลยีเครื่องรูดบัตรฯ แบบ EDC และ เครื่องรูดบัตรฯ แบบ mPOS กันค่ะ
ชนิดและความแตกต่างของเครื่องรูดบัตรฯ แบบ EDC และเครื่องรูดบัตรฯ แบบ MPOS
ปัจจุบันเครื่องรูดบัตรเครดิตที่มีให้บริการอยู่ในวงการร้านค้ารับบัตรฯ ของบ้านเราแบ่งออกเป็นสองชนิดใหญ่ โดยเครื่องรูดบัตรเครดิตแบบที่เราท่านต่างคุ้นหน้าคุ้นตากันดี ก็จะเป็นเจ้าเครื่องพลาสติกสีดำๆ ที่มีปุ่มตัวเลขให้กดคล้ายเครื่องคิดเลข ซึ่งเจ้าเครื่องแบบนี้ ก็คือ เครื่องรูดบัตรเครดิต, เดบิตที่อยู่ในตระกูล EDC ส่วนเครื่องรูดบัตรฯ อีกแบบจะเป็นเครื่องรูดบัตรฯ เทคโนโลยีใหม่ที่ถูกคิดค้นมาทีหลัง ใช้งานง่ายเพียงเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนหรือแท็บแล็ต สามารถพกพาไปไหนมาไหนได้สะดวก ซึ่งเจ้าเครื่องรูดบัตรฯ ตัวนี้มีชื่อว่าเครื่องรูดบัตรฯ แบบ mPOS (เปิดตัวในไทยครั้งแรกช่วงปี 2555)
เครื่องรูดบัตรเครดิตแบบ EDC (Electronic Data Capture)
มีรุ่นย่อยๆ ที่มีชื่อเรียกที่แตกต่างกันไปตามชนิดของอุปกรณ์ที่ใช้เชื่อมต่อเข้าสู่ระบบฐานข้อมูลของธนาคารที่เป็นเจ้าของเครื่องรูดบัตรเครดิต, เดบิต โดยหลักๆ ที่เราเห็นได้บ่อยๆ มีอยู่ 3 แบบ คือ
- Desktop EDC : เครื่องรูดบัตรเครดิตที่เชื่อมต่อด้วยสายโทรศัพท์บ้านทั่วไป เครื่องรุ่นนี้ไม่สามารถใช้พกพาไปไหนมาไหนได้ เพราะต้องเสียบปลั๊กไฟ และเชื่อมต่อสู่ระบบของธนาคารเจ้าของเครื่องฯ ผ่านสายโทรศัพท์บ้าน ซึ่งในการรูดบัตรเครดิตทุกครั้งร้านค้าจะต้องเสียค่าใช้จ่าย (ครั้งละ 3 บาท หรือตามแพคเกจค่าบริการ) เหมือนการโทรออกไปยังเบอร์โทรศัพท์บ้านพื้นฐานปกติ
- GPRS EDC : เครื่องรูดบัตรเครดิตที่เชื่อมต่อเข้าสู่ระบบของธนาคารผ่าน SIM Card มือถือ เครื่องแบบนี้ถูกออกแบบมาเพื่อช่วยแก้ปัญหาให้กับร้านค้าหรือร้านบริการที่ไม่มีสายโทรศัพท์บ้าน ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายต่อครั้งในการรูดบัตรเครดิต แต่ต้องเสียค่าใช้จ่ายรายเดือนให้กับผู้ให้บริการ SIM Card ตัวเครื่อง GPRS EDC มีสองรูปแบบ คือ แบบมีสาย (GPRS Desktop) และแบบไร้สาย (GPRS Mobile) ซึ่งทั้งสองแบบมีความแตกต่างกันในเรื่องของรูปแบบการใช้พลังงาน โดยเครื่องแบบมีสายต้องใช้พลังงานด้วยการเสียบเข้ากับปลั๊กไฟ ส่วนเครื่องแบบไร้สายนั้นใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ จึงทำให้สามารถพกพาออกไปใช้งานนอกสถานที่ได้สะดวกขึ้น

เครื่องรูดบัตร GPRS EDC แบบไร้สาย ที่ร้านค้าสามารถพกพาออกไปใช้งานนอกสถานที่ได้
(ขอบคุณภาพประกอบจาก idelivery.sg)
- Internet EDC : เครื่องรูดบัตรเครดิตที่เชื่อมต่อเข้าสู่ระบบของธนาคารเจ้าของเครื่องด้วยระบบสายเน็ต, สาย LAN เหมาะกับร้านค้าหรือร้านบริการที่มีการเดินระบบอินเทอร์เน็ตเชื่อมต่อภายในร้านไว้อยู่แล้ว ไม่มีค่าใช้จ่ายต่อครั้งในการรูดบัตรเครดิต ใช้พลังงานด้วยการเสียบปลั๊ก ทำให้ไม่สามารถพกพาไปไหนมาไหนได้เช่นกัน

รูปแบบการเชื่อมต่อเครื่องรูดบัตรฯ ระบบ EDC ด้วยสาย LAN และแบบสายโทรศัพท์ปกติ
(ขอบคุณภาพคลิปเปรียบเทียบความเร็วการใช้งานเครื่องรูดบัตร EDC จากยูทูป)
ถึงแม้ว่าเครื่องรูดบัตรเครดิตแบบ EDC ทั้งสามแบบที่เรากล่าวถึงไปข้างต้น จะเป็นเครื่องรูดบัตรฯ ที่เราคุ้นเคย เพราะร้านค้ารับบัตรเครดิตส่วนใหญ่มีใช้งานกันอย่างแพร่หลาย แต่ด้วยข้อจำกัดในเรื่องต้นทุนของราคาเครื่องที่สูงกว่า และเงื่อนไขการขอใช้บริการจากธนาคารที่ยุ่งยาก ทำให้ร้านค้าที่มีการใช้บริการเครื่องรูดบัตรฯ แบบ EDC ส่วนใหญ่ มักจะจำกัดอยู่ในธุรกิจร้านค้าขนาดกลางจนไปถึงขนาดใหญ่ ส่วนร้านค้าขนาดเล็กหรือรายย่อย (SME) จะเข้าถึงบริการเครื่องรูดบัตรฯ แบบ EDC ได้ค่อนข้างยาก
ที่ผ่านมาวงการบัตรเครดิตจึงได้ทำการคิดค้นเครื่องรูดบัตรฯ แบบใหม่อย่างเจ้าเครื่อง mPOS ซึ่งเป็นอุปกรณ์เสริมที่จะช่วยทำให้สมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตที่เราใช้งานทั่วไป กลายร่างเป็นเครื่องรูดบัตรเครดิตสุดล้ำ ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายในการใช้งาน แถมยังมีต้นทุนราคาเครื่องที่ถูกกว่า และที่สำคัญยังขอใช้งานจากทางธนาคารเจ้าของเครื่องรูดบัตรเครดิตได้ง่ายกว่าเจ้าเครื่องรูดบัตรฯ แบบ EDC ด้วย
เครื่องรูดบัตรเครดิตแบบ mPOS (Mobile Point-of-sale)
เครื่องรูดบัตรเครดิต mPOS คือ อุปกรณ์เสริมซึ่งทำหน้าที่เป็น Card Reader ที่ผู้ใช้ต้องนำมาเชื่อมต่อเข้ากับสมาร์ทโฟน หรือแท็บเล็ต ผ่านทางช่องแจ็คที่ใช้เสียบหูฟัง หรือช่องเสียบ Power Charge ของตัวเครื่อง โดยสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตที่จะนำมาใช้เชื่อมต่อเพื่อใช้งาน จะต้องดาวน์โหลดและติดตั้งแอปพลิเคชั่นของธนาคารเจ้าของเครื่อง mPOS ตามที่เลือกสมัครใช้บริการก่อน
ส่วนการเชื่อมต่อเข้าสู่ระบบของธนาคารสามารถทำได้ในทุกๆ ที่ที่เครื่องสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตที่ใช้งานสามารถรับสัญญาณ 3G, 4G หรือ WiFi ได้ และด้วยข้อได้เปรียบในเรื่องนี้ทำให้เครื่องรูดบัตรเครดิตแบบ mPOS มีความคล่องตัวที่สูงกว่าเครื่องรูดบัตรฯ แบบ EDC เพราะไม่ต้องคอยกังวลกับระบบการเชื่อมต่อ ตัวเครื่องมีขนาดเล็กกะทัดรัดสามารถพกพาติดตัวไปใช้งานได้ในทุกๆ ที่ (สมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตที่เลือกใช้เชื่อมต่อกับอุปกรณ์ mPOS ต้องเป็นรุ่นที่สามารถรองรับการทำงานของเครื่อง mPOS และ Application ของระบบปฎิบัติการในระบบ iOS และ Android ได้)
วิธีการใช้งานเครื่องรูดบัตรฯ แบบ mPOS
เมื่อติดตั้งอุปกรณ์เสริม mPOS และแอปพลิเคชั่นของธนาคารเรียบร้อย ในการใช้งานครั้งแรกร้านค้าจะต้องลงทะเบียนด้วยรหัสและข้อมูลที่ได้รับจากเจ้าของเครื่องที่สมัครใช้บริการ เพื่อทำการ Activate การใช้งานเครื่องก่อน หลังจากนั้นร้านค้าก็จะพร้อมรับชำระค่าสินค้าหรือบริการผ่านบัตรเครดิตจากลูกค้าตามขั้นตอนต่อไปนี้
- ร้านค้าเปิดแอปพลิเคชั่นที่ใช้ พิมพ์จำนวนเงินค่าสินค้าหรือบริการที่จะรับชำระลงในแอปพลิเคชั่น
- ร้านค้ารับบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิตจากลูกค้า รูดบัตรฯ หรือเสียบบัตรเครดิตเข้าไปที่อุปกรณ์เสริม mPOS รอเครื่องอ่านข้อมูลจากตัวบัตรฯ
- ลูกค้าเจ้าของบัตรฯ เช็คความถูกต้องของจำนวนเงินที่จะทำการชำระ และจึงเซ็นชื่อเป็นหลักฐานลงบนหน้าจอ Application ของธนาคารเจ้าของเครื่องรูดบัตรฯ
- ลูกค้าเจ้าของบัตรฯ เลือกช่องทางรับหลักฐานยืนยันการใช้จ่าย โดยสามารถเลือกกรอกเบอร์มือถือ หรือ e-mail เพื่อรับ Slip Online
- ร้านค้าใส่รหัส PIN ที่ลงทะเบียนและกดยืนยันข้อมูล ระบบตรวจสอบและทำการการอนุมัติการใช้จ่ายผ่านบัตรฯ
- ระบบจะทำการส่งหลักฐานแจ้งยืนยันการใช้จ่ายเข้ามาในรูปแบบ SMS หรือ E-mail ตามช่องทางที่ลูกค้าได้เลือกไว้อัตโนมัติ

ภาพแสดงขั้นตอนการชำระเงินผ่านเครื่องรูดบัตรเครดิต mPOS
(ขอบคุณภาพประกอบจากคลิปวีดีโอในยูทูปของธนาคารกสิกรไทย)
ความเหมือนและความแตกต่างของขั้นตอนการทำงานของเครื่องรูดบัตรฯ แบบ EDC และ mPOS
จากขั้นตอนแสดงวิธีการใช้งานของเครื่องรูดบัตรฯ แบบ mPOS ข้างต้น จะเห็นได้ว่าขั้นตอนในการทำงานของเครื่องรูดบัตรฯ ระบบ mPOS และเครื่องรูดบัตรฯ ระบบ EDC แบบที่เราคุ้นเคยนั้นมีลักษณะที่คล้ายคลึงกัน คือ กรอกจำนวนเงิน, รูดบัตรเครดิต และรอระบบตรวจสอบจากธนาคารเจ้าของเครื่องรูดบัตรฯ อนุมัติการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเหมือนๆ กัน
แต่แตกต่างกันตรงระบบการเซ็นชื่อและรูปแบบการรับหลักฐานยืนยันการใช้จ่าย เพราะการรูดบัตรเครดิตผ่านเครื่องรูดบัตรฯ แบบเดิมๆ ตัวเครื่องจะปรินท์ Sale Slip ออกมาสองใบ ใบนึงเจ้าของบัตรเครดิตต้องเซ็นชื่อยืนยันการใช้จ่ายและร้านค้าจะเป็นผู้เก็บสลิปที่มีลายเซ็นนั้นไว้เป็นหลักฐาน ส่วน Sale Slip อีกใบเจ้าของบัตรเครดิตจะเป็นผู้เก็บไว้ใช้เป็นหลักฐานตรวจสอบเอง
ดังนั้น การชำระเงินผ่านเครื่องรูดบัตรฯ แบบ mPOS จึงสะดวกและรวดเร็วกว่าการชำระเงินแบบเก่า เพราะเจ้าของบัตรเครดิตสามารถเซ็นชื่อรับรองการใช้จ่ายโดยตรงเข้าสู่ Application ตามระบบของธนาคาร ส่วนหลักฐานยืนยันการใช้จ่ายก็จะถูกส่งมาเป็น SMS หรือ E-mail ตามที่เจ้าของบัตรฯ เลือกไว้ ไม่ต้องเสียเวลารอปรินท์ใบ Sale Slip และไม่ต้องคอยกังวลกับการเก็บรักษา Sale Slip ที่เป็นกระดาษแบบเดิมๆ อีกต่อไป

ตัวอย่างการใช้งานเครื่องรูดบัตรเครดิตแบบ mPOS ที่สามารถนำติดตัวพกพาไปได้สะดวก หมดห่วงแม้ซองจะหมด
เพื่อนเจ้าสาวในงานหมั้นของคุณชมพู่ อารยา ก็สามารถหยิบเจ้าเครื่องรูดบัตรฯ mPOS
มาให้เจ้าบ่าวรูดปื๊ดแทนการแจกซองแบบเก่าได้ทันที (ขอบคุณภาพจาก www.narakornphotography.com)
ธนาคารที่ให้บริการเครื่องรูดบัตรเครดิตแบบ mPOS
ธนาคารกสิกรไทย

บริการเครื่องรูดบัตรฯ ระบบ mPOS จากธนาคารกสิกรไทย ภายใต้ชื่อ K Power Pay
(ติดต่อ โทร. 02-888-8888)
ธนาคารธนชาต

บริการเครื่องรูดบัตรฯ ระบบ mPOS จากธนาคารธนชาต ภายใต้ชื่อ Pay and go
(คลิกดูข้อมูลเพิ่มเติม หรือ โทร. 02-217-5757)
บัตรกรุงไทย

บริการเครื่องรูดบัตรฯ ระบบ mPOS จากบริษัทบัตรกรุงไทย ภายใต้ชื่อ Tap KTC merchant
(คลิกดูข้อมูลเพิ่มเติม หรือ โทร. 02-828-5264-73)
บัตรกรุงศรีอยุธยา

บริการเครื่องรูดบัตรฯ ระบบ mPOS จากบัตรกรุงศรีอยุธยา ภายใต้ชื่อ Krungsri Quick pay
(คลิกดูข้อมูลเพิ่มเติม หรือ โทร. 1572)
อิออน

บริการเครื่องรูดบัตรฯ ระบบ mPOS จากอิออน ภายใต้ชื่อ AEON Easy Pay Service
(คลิกดูข้อมูลเพิ่มเติม หรือ โทร. 02-689-7107)
หลักเกณฑ์การคิดค่าบริการคร่าวๆ จากบริษัทเจ้าของเครื่องรูดบัตรเครดิตแบบ mPOS
ค่าติดตั้ง : ไม่มีค่าติดตั้ง
ค่าธรรมเนียมตัวเครื่อง : ค่าธรรมเนียมแรกเข้า 2,500 บาท เป็นค่าซื้อตัวเครื่อง mPOS จ่ายเพียงครั้งเดียว ไม่มีค่าธรรมเนียมรายเดือน (เครื่องรูดบัตรเครดิตแบบ EDC อาจมีค่าธรรมเนียมรายเดือนประมาณ 500-1,000 บาท หากไม่มีค่าธรรมเนียมรายเดือนก็อาจจะมีเงื่อนไขให้ต้องรักษายอดขายให้ได้ตามที่ทางบริษัทเจ้าของเครื่องกำหนด)
ค่าธรรมเนียมธนาคาร : ธนาคารหรือบริษัทเจ้าของเครื่องรูดบัตรเครดิตจะคิดค่าธรรมเนียมจากร้านค้าที่ขอใช้บริการเครื่องรูดบัตรเครดิตแบบ mPOS เป็นร้อยละของยอดรับซื้อที่ร้านค้านำมาขึ้นเงินกับธนาคารในอัตราเรทที่ 2.5-3% (อาจมีเงื่อนไขการคิดค่าบริการที่แตกต่าง ตามเงื่อนไขอื่นๆ อีก เช่น หากบัตรเครดิตที่ร้านค้ารับทำรายการใช้จ่าย เป็นบัตรเครดิตเจ้าของเดียวกันกับบริษัทเครื่องรูดบัตรฯ โดยตรง จะถูกเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในอัตราที่ถูกกว่าบัตร VISA หรือ MasterCard ของเจ้าอื่นที่ไม่ตรงกับเครื่องรูดบัตร ตัวอย่างเช่น ร้านค้า A เลือกใช้บริการเครื่องรูดบัตรฯ mPOS ของธนาคารธนชาต แล้วมีลูกค้ารายที่หนึ่งมารูดซื้อสินค้าด้วยบัตรฯ Visa หรือ MasterCard จากธนาคารธนชาต รายการค่าใช้จ่ายผ่านเครื่องรูดบัตรฯ รายการนี้จะถูกคิดค่าธรรมเนียมที่ 2% แต่ถ้าลูกค้าอีกรายมารูดซื้อสินค้าที่ร้านเดิมโดยลูกค้าเลือกใช้บัตรฯ Visa หรือ MasterCard ของธนาคารอื่นๆ ซึ่งไม่ตรงกันกับเครื่องรูดบัตรฯ mPOS ธนชาต ของทางร้าน รายการใช้จ่ายนี้ก็จะถูกคิดค่าธรรมเนียมในอัตราสูงกว่าที่ 3% (บัตรเครดิตในเครือ AMEX คาดว่าอาจจะถูกคิดค่าธรรมเนียมสูงถึง 5%)
เทคโนโลยีของเครื่องรูดบัตรฯ แบบ mPOS ถือว่าเป็นเทคโนโลยีที่พัฒนาไปอีกขั้น และช่วยเพิ่มความสะดวกสบายให้แก่ทั้งตัวลูกค้าและเจ้าของกิจการที่ไม่ใช่เพียงแค่ร้านค้าขนาดใหญ่เท่านั้น ร้านค้าเล็กๆ หรือธุรกิจ SME และอีกหลายธุรกิจบริการที่ลูกค้าจะต้องชำระค่าบริการนอกสถานที่ ก็จะสามารถเข้าถึงบริการใช้งานเครื่องรูดบัตรเครดิตกันได้ง่ายและมากขึ้น หลังจากนี้ไปเราก็คงต้องคอยดูกันนะคะว่าเครื่องรูดบัตรเครดิตแบบ mPOS จะได้รับความนิยมในการใช้งานเพิ่มมากขึ้นขนาดไหน แต่ที่แน่ๆ คนที่ได้อ่านบทความอัพเดตเทคโนโลยีเครื่องรูดบัตรเครดิตของเราไปแล้ว ก็คงจะไม่แปลกใจหากเวลาไปเจอร้านค้าสมัยใหม่ที่รับบัตรเครดิตด้วยเจ้าเครื่องรูดบัตรฯ mPOS กันนะคะ
แท็กที่เกี่ยวข้อง
เขียนโดย
เช็คราคา.คอม
Money Guru
พูดคุยกับกูรูได้ที่




