บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ "FPT" ผู้นำบริการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจรของประเทศไทย ประกาศผลการดำเนินงานครึ่งปีแรก (มกราคม-มิถุนายน 2565) ที่จำนวน 7,788 ล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายของบริษัทฯ และสะท้อนความสำเร็จจากการประยุกต์ใช้แผนกลยุทธ์ธุรกิจเชิงรุกในช่วงที่ผ่านมากับทุกกลุ่มธุรกิจ ได้แก่ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อที่อยู่อาศัย อุตสาหกรรม และพาณิชย กรรม นอกจากนี้ ยังได้รับอานิสงส์จากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจภายในประเทศทำให้บริษัทฯมีผลการดำเนินงานที่เติบโตขึ้นในทุกมิติ
นายธนพล ศิริธนชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (Country Chief Executive Officer) บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า "ผลการดำเนินงานรอบ 6 เดือน (มกราคม-มิถุนายน 2565) เป็นที่น่าพึงพอใจและเป็นตามที่บริษัทฯวางแผนไว้ โดยไตรมาสที่ผ่านมา เป็นช่วงเวลาที่ FPT ได้เริ่มเก็บเกี่ยวผลสำเร็จจากความพยายามของบริษัทฯในการปรับตัวให้สอดคล้องกับสถานการณ์ด้านเศรษฐกิจผ่านแผนกลยุทธ์การรุกตลาดและการจับกลุ่มลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้น ซึ่ง FPT จะยังคงมุ่งเน้นให้ความสำคัญกับการพัฒนานวัตกรรมสินค้าและบริการที่ทันสมัย เพื่อส่งมอบประสบการณ์และตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา พร้อมกับสร้างความแข็งแกร่งให้กับแบรนด์ "เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทย" ให้เป็นแบรนด์ในใจลูกค้า"
ในภาพรวมของรอบปฎิทินไตรมาสที่สอง ปี 2565 บริษัทฯ ได้ออกหุ้นกู้ในมูลค่า 3,000 ล้านบาท ซึ่งได้รับความสนใจจากนักลงทุนกลุ่มผู้มีความมั่งคั่งสูง (High Net Worth Individuals) และ กลุ่มสหกรณ์อย่างล้นหลาม สะท้อนถึงความเชื่อมั่นในศักยภาพของแพลตฟอร์มอสังหาฯครบวงจร และผลการดำเนินงานที่ผ่านมาของ FPT โดยบริษัทฯจะนำเงินที่ได้จากครั้งนี้ไปชำระคืนเงินกู้ รวมถึงใช้เป็นเงินทุนขยายธุรกิจ และเงินทุนหมุนเวียนในปี 2565
ผลงานดำเนินงานด้านการเงินรอบปฏิทิน ไตรมาส2/2565 (เมษายน – มิถุนายน 2565)
จากการปรับกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจเพื่อรุกสร้างรายได้ผ่านการนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ให้ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าได้อย่างครอบคลุมมากยิ่งขึ้น ทำให้บริษัทฯ สามารถสร้างรายได้รวมในรอบ 3 เดือน (เมษายน-มิถุนายน 2565) ในจำนวน 4,374 ล้านบาท คิดเป็นกำไรสุทธิจำนวน 680 ล้านบาท และคิดเป็นรายได้รวมรอบ 6 เดือน (มกราคม-มิถุนายน 2565) 7,788 ล้านบาท โดยมีกำไรสุทธิ 991 ล้านบาท สามารถรับรู้อัตรา
ตารางเปรียบเทียบผลการดำเนินงานด้านการเงิน รอบระยะเวลา 6 เดือน (มกราคม – มิถุนายน)
กำไรขั้นต้นในสัดส่วนที่สูงขึ้น 6% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว ด้วยการปรับกลยุทธ์ของกลุ่มธุรกิจอสังหาฯเพื่อที่อยู่อาศัย "เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮม" ที่เดินหน้าพัฒนาโครงการบ้านเดี่ยวเพิ่มมากขึ้นเพื่อขยายเซ็กเมนต์ของกลุ่มลูกค้ากำลังซื้อสูง โดยในครึ่งปีแรก(มกราคม-มิถุนายน) เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮม ได้ทยอยเปิดโครงการไปแล้วทั้งสิ้นกว่า 6 โครงการที่อยู่ในช่วงราคาระหว่าง 2-35 ล้านบาท จากทั้งหมด 18 โครงการ ซึ่งคิดเป็นมูลค่ารวม 20,000 ล้านบาท สำหรับช่วงครึ่งปีหลังของปี 2565 (กรกฎาคม-ธันวาคม) บริษัทฯมีแผนเปิดโครงการบ้านเดี่ยว,บ้านแฝด, ทาวน์โฮม และโครงการต่างจังหวัด อีก 12 โครงการ
กลุ่มธุรกิจ "เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ อินดัสเทรียล" และ กลุ่มธุรกิจ "เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ คอมเมอร์เชียล" ที่สร้างกระแสรายได้ที่สม่ำเสมอให้แก่บริษัทฯ บันทึกรายได้ที่ 597 ล้านบาทในครึ่งปีแรก (มกราคม-มิถุนายน 2565) โดยธุรกิจโรงงานและคลังสินค้ายังมีอัตราการเช่ารวมสูงถึงร้อยละ 85.4 และยังได้รับอานิสงส์จากการชะลอการส่งออกที่ทำให้มีดีมานด์เช่าคลังสินค้าระยะสั้นเพิ่มเติม ซึ่งคาดการณ์ว่าจะส่งผลยาวถึงสิ้นปี 2565 สำหรับไตรมาสที่ผ่านมา เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ อินดัสเทรียล ได้เพิ่มสัดส่วนการลงทุนเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของโครงการคลังสินค้าสมัยใหม่ที่ประเทศอินโดนีเซีย ที่มีโครงการตั้งอยู่ในเมืองคาราวัง เมืองมากัซซาร์ และ เมืองบันจาร์มาซิน ทำให้พอร์ตโฟลิโอในต่างประเทศเพิ่มขึ้นกว่า 150,000 ตารางเมตร และภาพรวมพอร์ตฯอสังหาริมทรัพย์เพื่ออุตสาหกรรมภายใต้การบริหารงานของบริษัทฯในปัจจุบันโตเพิ่มขึ้นเป็น 3.25 ล้านตารางเมตร นอกจากนี้ ยังมีการทยอยขายทรัพย์ให้กับทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์เพื่ออุตสาหกรรม FTREIT ทำให้รอบไตรมาสล่าสุดมีรายได้พิเศษรวมเป็น 622 ล้านบาท
ด้านธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อพาณิชยกรรมสามารถรักษาอัตราการเช่าได้ในระดับสูง โดยอาคารสำนักงานสามารถรักษาระดับผู้เช่าไว้ได้กว่า 90% โดยมุ่งเน้นการให้บริการแบบใหม่ Core & Flex ที่ผสานการให้บริการพื้นที่สำนักงานแบบมาตรฐานและแบบยืดหยุ่น เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้เช่าได้อย่างครอบคลุม สำหรับ 2 โครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนา บริษัทฯสร้างความคืบหน้าโครงการมิกซ์ยูส ‘สีลมเอจ’ ได้ตามเป้าหมาย โดยจะเปิดให้บริการเป็นครั้งแรกในเดือนกันยายน 2565 ซึ่งเป็นช่วงระยะเวลาเดียวกันกับที่จะส่งมอบโครงการศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ให้แก่ บริษัท เอ็น.ซี.ซี. แมนเนจเม้นท์ แอนด์ ดิเวลลอปเม้นท์ จำกัด ด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ การเดินหน้าเปิดประเทศยังขับเคลื่อนให้ประชาชนมีการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น ส่งผลให้ธุรกิจศูนย์การค้า ‘สามย่านมิตรทาวน์’ กลับมาคึกคัก และธุรกิจโรงแรมเริ่มฟื้นตัวดีขึ้น