"หุ้นปันผล" เป็นหนึ่งในประเภทหุ้นยอดฮิตของนักลงทุน มีนักลงทุนระดับตำนานหลายท่านกล่าวว่า การเลือกหุ้นก็เหมือนการเลือกธุรกิจ ถ้าเราเลือกบริษัทที่ธุรกิจมีแนวโน้มเติบโต ผลกำไรที่เพิ่มขึ้นส่งให้บริษัทจ่ายเงินปันผลได้มากขึ้นไปด้วย เพราะบริษัทจ่ายปันผลจากกำไร ซึ่งส่วนใหญ่จะเลือกจ่ายจากกำไรสุทธิ
ดังนั้นการค้นหาหุ้นปันผลที่ดี และมีพื้นฐานจากแนวโน้มธุรกิจที่แข็งแกร่ง จะต้องคำนึงคำนึงถึงปัจจัยอะไรบ้าง เราไปดูเกณฑ์ในการคัดเลือกกันเลย
ธุรกิจดี มีการเติบโต
เพราะเงินปันผลมาจากกำไรของบริษัท ดังนั้นการมองหาหุ้นปันผลที่ดีต้องเริ่มจากการลงทุนในบริษัทที่ทำธุรกิจดี สามารถส่งเสริมให้ผลประกอบการเติบโต ซึ่งอาจเป็นบริษัทที่มีความสามารถในการแข่งขันสูง หรืออาจเป็นบริษัทใหญ่ในอุตสาหกรรมที่มีคู่แข่งน้อย
ควรเลือกบริษัทที่เติบโตจนมีขนาดใหญ่ระดับหนึ่งแล้ว เพราะการเลือกบริษัทที่อยู่ในช่วงกำลังเติบโต อาจต้องแลกกับเงินปันผลที่น้อย เพราะบริษัทต้องนำกำไรไปลงทุนขยายธุรกิจ แทนการจ่ายเงินปันผลให้กับนักลงทุน
มีงบการเงินที่แข็งแกร่ง
- กำไรสะสมเป็นบวก
โดยหลักการแล้วบริษัทจะนำกำไรที่เหลือจากการปันผล ไปเก็บไว้เป็นกำไรสะสม แม้รอบบัญชีนั้นบริษัทจะมีกำไร แต่ถ้ากำไรสะสมติดลบ ก็จะแปลว่าบริษัทยังขาดทุนสะสม ทำให้บริษัทอาจพิจารณานำกำไรในรอบบัญชีนั้นไปชดเชยส่วนที่ขาดทุนสะสม ซึ่งส่งผลให้บริษัทอาจไม่จ่ายเงินปันผล หรือจ่ายเงินปัลผลให้กับนักลงทุนได้น้อย ดังนั้นควรเลือกบริษัทที่กำไรสะสมเป็นบวกอย่างสม่ำเสมอ
- กระแสเงินสดจากการดำเนินงานเป็นบวก
กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน (Cash Flow from Operating : CFO) เป็นปัจจัยที่อาจไม่ส่งผลต่อการปันผลโดยตรง แต่เป็นส่วนที่ช่วยบอกความสม่ำเสมอของการปันผลได้ ถ้า CFO ติดลบ แต่รอบบัญชีนั้นบริษัทมีกำไร หมายความว่าบริษัทอาจไม่ได้กำไรจากการดำเนินธุรกิจ แต่เป็นกำไรพิเศษที่เกิดขึ้นเฉพาะช่วงนั้น เช่น ขายอาคารหรือสินทรัพย์ ซึ่งไม่ได้เกิดขึ้นทุกรอบบัญชี กำไรที่เคยมีก็อาจพลิกเป็นขาดทุนได้ จึงควรเลือกบริษัทที่มี CFO เป็นบวกอย่างสม่ำเสมอ
- อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนต่ำ
อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (Debt to Equity ratio : D/E) ใช้เพื่อดูความแข็งแกร่งของบริษัทต่อการดำเนินธุรกิจที่อาจไม่เป็นอย่างที่วางแผนไว้ การที่อัตราส่วนนี้มีค่ามากก็อาจทำให้เงินปันผลลดลงเพราะบริษัทต้องนำเงินจากผลกำไรไปใช้หนี้
ปัจจัยเชิงคุณภาพ
- ค่า Beta ต่ำกว่า 1
ถ้าเลือกบริษัทที่เติบโตจนมีขนาดใหญ่ระดับหนึ่งแล้วโดยเฉพาะหุ้นใน SET50 หรือ SET High Dividend 30 Index ก็ช่วยแก้ปัญหาเรื่องสภาพคล่องได้ นอกจากนั้นการลงทุนหุ้นขนาดใหญ่ จะช่วยลดความผันผวนด้วย เพราะหุ้นขนาดใหญ่ส่วนใหญ่จะผันผวนน้อยกว่าดัชนีตลาดหุ้น สะท้อนผ่านค่า Beta ที่ใช้ชี้วัดความผันผวนของราคาหุ้นเทียบกับตลาดหุ้น ถ้าค่า Beta ต่ำกว่า 1 แสดงว่าราคาหุ้นผันผวนน้อยกว่าตลาดหุ้น ถ้าสูงกว่า 1 แสดงว่าราคาหุ้นผันผวนมากกว่าตลาดหุ้น ดังนั้นควรหาหุ้นที่มีค่า Beta ต่ำกว่า 1
- ประวัติการจ่ายเงินปันผล
ลองดูประวัติการจ่ายปันผลย้อนหลัง 3-5 ปี ว่าสามารถจ่ายปันผลสม่ำเสมอหรือไม่ นอกจากนี้อัตราเงินปันผล (Dividend Yield) ต้องมากกว่าอัตราเงินปันผลเฉลี่ยของตลาดหุ้นไทย ซึ่งอยู่ที่ 3% ต่อปี เมื่อเพิ่มความเสี่ยงเฉพาะตัวของบริษัทและอัตราเงินเฟ้อเข้าไป ก็จะได้คำตอบว่าควรเลือกหุ้นที่มีอัตราเงินปันผลประมาณ 4-6% ต่อปี
ตัวอย่างหุ้นปันผลที่น่าสนใจ
TISCO เป็น Holding company มีบริษัทย่อยแบ่งเป็น 2 ธุรกิจหลัก ประกอบด้วย กลุ่มธนาคารพาณิชย์ และสินเชื่อ และกลุ่มธุรกิจหลักทรัพย์ รายได้เติบโตอย่างค่อยเป็นค่อยไปก่อนจะลดลงช่วงที่โควิด-19 แพร่ระบาด แม้ปี 2564 ที่ผ่านมา รายได้จะยังไม่ฟื้นตัวมากเท่าไหร่ แต่กำไรกลับมาฟื้นตัวแล้ว แสดงให้เห็นว่ามีการบริหารงานที่ดี
จากการทำธุรกิจที่มีกำไรมาตลอด ส่งผลให้กำไรสะสมเพิ่มขึ้นทุกปี ส่วนกระแสเงินสดจากการดำเนินงานย้อนหลัง 2-3 ปี เป็นบวก ด้านอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนก็ลดลง และต่ำกว่า 1
TISCO เป็นหุ้นในดัชนี SET50 และอยู่ในดัชนี SET High Dividend 30 Index และมีค่า Beta ต่ำกว่า 1 ในช่วง 2 ปีย้อนหลัง มีการปันผลทุกปีโดยอัตราเงินปันผลย้อนหลัง 2-3 ปี อยู่ที่ 6-8% ต่อปี
สุดท้ายนี้ทีมงานหวังว่าเทคนิคเหล่านี้จะช่วยให้เพื่อนๆ ค้นพบหุ้นปันผลสูง คุณภาพดี และมีมูลค่าเหมาะสม แต่โลกการลงทุนมีการเปลี่ยนแปลงทุกวัน เพื่อนๆ อย่าลืมที่จะติดตามทิศทางของบริษัทที่ลงทุน และศึกษาหาโอกาสในการลงทุนอย่างสม่ำเสมอ