ออโตโมบิลิ ลัมโบร์กินี (Automobili Lamborghini) เผยตัวเลขผลประกอบการ 9 เดือนแรกของปีสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ถือเป็นผลการดำเนินงานที่ดีที่สุดของบริษัท ทั้งในด้านจำนวนการส่งมอบรถยนต์ ตัวเลขรายได้ และกำไรจากการดำเนินงาน โดยมีการส่งมอบรถยนต์รวม 8,411 คัน (เพิ่มขึ้น 8.6% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2566) ทำรายได้ที่ 2,434 ล้านยูโร เพิ่มขึ้น 20.1% เมื่อเปรียบเทียบกับปีที่ผ่านมา และสามารถทำกำไรจากการดำเนินงานได้ที่ 678 ล้านยูโร เพิ่มขึ้น 9.8% จากปี 2566
มร.สเตฟาน วิงเคิลมันน์ ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ลัมโบร์กินี กล่าวว่า “ประสิทธิภาพการดำเนินงานขั้นสูงสุดที่ปรากฏนั้น เป็นผลมาจากการตัดสินใจทำสิ่งใหม่ที่ยังไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ของ ออโตโมบิลิ ลัมโบร์กินี นั่นคือเราได้เปิดตัวรถยนต์ใหม่ถึง 3 รุ่นในเวลาเพียง 18 เดือน ปิดท้ายด้วยความสำเร็จครั้งสำคัญจากการนำเสนอซูเปอร์คาร์ปลั๊กอินไฮบริดที่สมบูรณ์แบบจากรถยนต์ Lamborghini Temerario ทำให้นี่เป็นช่วงเวลาที่ต้องจับตามองมากที่สุดสำหรับบริษัท ในการเน้นย้ำถึงความสำคัญและผลกระทบจากเทรนด์การเปลี่ยนแปลงในโลกยานยนต์ที่เรากำลังเผชิญอยู่”
มร.เปาโล โพมา กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ออโตโมบิลิ ลัมโบร์กินี กล่าวว่า “ผลประกอบการ 9 เดือนแรกของปี สะท้อนการดำเนินการตามกลยุทธ์ของเราได้อย่างยอดเยี่ยม โดยเราสามารถยกระดับขีดความสามารถในการสร้างผลกำไรได้อย่างโดดเด่นแม้จะอยู่ท่ามกลางสภาพแวดล้อมทางการค้าที่ท้าทาย ซึ่งผลประกอบการไตรมาส 3 ยังทำให้เราสามารถคาดหวังได้ว่าผลประกอบการรวมของปีนี้ที่จะดีขึ้นอีกครั้ง และช่วยตอกย้ำตำแหน่งทางการตลาดที่เข้มแข็งของเราในฐานะแบรนด์ที่ทำกำไรสูงสุดในกลุ่มสินค้าลักซ์ชัวรีได้อีกครั้งในปีนี้”
ด้วยจำนวนคำสั่งซื้อมหาศาลที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แสดงให้เห็นว่ารถยนต์ทุกรุ่นของออโตโมบิลิ ลัมโบร์กินี ยังคงเป็นที่ต้องการสูง โดยระยะเวลารอคอยของรุ่น Revuelto เพียงรุ่นเดียวก็นานเกิน 2 ปี ในขณะที่การผลิตรุ่น Urus SE ซึ่งเปิดตัวเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา คำสั่งซื้อก็ครอบคลุมโควต้าการผลิตปี 2568 ทั้งหมดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ส่วนรุ่น Temerario ใหม่ซึ่งเป็นดาวเด่นประจำไตรมาสที่เปิดตัวในงาน Monterey Car Week ก็มีคำสั่งซื้ออย่างเป็นทางการทันทีในเดือนกันยายน พร้อมกระแสตอบรับเชิงบวกจากสาธารณชนอย่างล้นหลาม
หลักชัยแห่งความสำเร็จนี้ได้เสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับตำแหน่งทางการตลาดของบริษัทในอุตสาหกรรมยานยนต์ระดับหรู และวางรากฐานอันมั่นคงให้กับการพัฒนากลยุทธ์การเติบโตและนวัตกรรมใหม่ ๆ ในอนาคตต่อไป