เปิดตัว
2025 MG ZS Hybrid+ รถ B-SUV ยอดนิยมของค่ายสัญชาติอังกฤษ มาพร้อมหน้าตาใหม่ทั้งภายนอกและภายใน รวมถึงขุมพลังไฮบริดใหม่ที่ให้ความประหยัดมากขึ้น
ภายนอกดีไซน์ใหม่
สำหรับในภาพรวม ZS ใหม่มาพร้อมดีไซน์ด้านหน้าแบบใหม่ที่ประกอบด้วยช่องรับลมรูปวงรีขนาดใหญ่ลายรังผึ้ง พร้อมชุดไฟหน้า LED พร้อมดีไซน์เส้นนอนต่อเนื่องเต็มความกว้างของรถที่คล้ายกับ MG VS
ตั้งแต่บริเวณชายด้านหน้าไปจนถึงด้านข้าง ถูกตกแต่งด้วยพลาสติกสีดำสไตล์ครอสโอเวอร์ ด้านข้างของรถเราจะเห็น shoulder line เป็นแนวเส้นตรงที่จะยกขึ้นบริเวณท้ายรถ ตัวรถยังมีส่วนกระจกที่กว้างขวาง และมาพร้อมล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว
ภายในดีไซน์ใหม่เช่นกัน
สำหรับดีไซน์ภายในถูกออกแบบใหม่เกือบทั้งหมด มาพร้อมเส้นแนวนอนที่ให้ความมินิมอลดูเรียบหรูมากกว่าเดิม ผู้ขับขี่จะมีมาตรวัดดิจิทัลขนาด 7 นิ้ว ส่วนตรงกลางจะเป็นหน้าจออินโฟเทนเมนต์ขนาด 12.3 นิ้วพร้อมระบบนำทาง GPS รองรับ Apple CarPlay และ Android Auto พร้อมทั้งมีฟีเจอร์ที่น่าสนใจ เช่น ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ, ระบบเสียงลำโพง 6 ตำแหน่ง, และเบาะนั่งหุ้มด้วยผ้าสีดำ
2025 MG ZS ยังมาพร้อมระบบช่วยเหลือขับขี่ (ADAS) ในชื่อ MG Pilot suite มาให้เป็นมาตรฐาน ซึ่งประกอบด้วย ระบบ adaptive cruise control, ระบบป้องกันการออกนอกเลน, ระบบเตือนเมื่อออกนอกเลน รวมถึงระบบช่วยเบรคฉุกเฉินแบบแอคทีฟ พร้อมการตรวจสอบคนเดินและคนขี่จักรยาน
ขณะเดียวกันก็มีระบบ blind spot detection, ระบบเตือนการชนด้านหน้า, ระบบเตือนการชนด้านหลัง และ traffic jam assist
รุ่นท็อปให้ครบ ๆ เลย
สำหรับสเปคที่จำหน่ายในอังกฤษจะมีรุ่นท็อปที่ต้องจ่ายเพิ่มอีกราว 2,500 ปอนด์ (ราว 1 แสนบาท) ในรุ่น Trophy ซึ่งจะได้ออพชั่นสุดพรีเมียม ได้แก่ privacy glass, กล้อง 360 องศา, ล้อขนาด 18 นิ้ว, ระบบอุ่นเบาะคู่หน้า, ระบบอุ่นพวงมาลัย, เบาะคนขับปรับไฟฟ้า และเบาะหุ้มผ้าผสมหนัง
ขุมพลังเดียวกันกับ MG 3 Hybrid+
ระบบส่งกำลังของ MG ZS Hybrid+ ประกอบด้วย เครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตร, แบตเตอรี่ความจุ 1.83 kWh และมอเตอร์ไฟฟ้าที่ให้กำลังสูงสุด 134 แรงม้า (hp) แรงบิด 250 นิวตันเมตร
ทั้งสองระบบรวมกันให้กำลังสูงสุด 193 แรงม้า (hp) แรงบิดสูงสุด 250 นิวตัเมตร สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ภายใน 8.7 วินาที ให้อัตราประหยัดเชื้อเพลิงแบบผสม (combined) ที่ 23.5 กม./ลิตร
เริ่ม 9.87 แสนบาท
2025 MG ZS Hybrid+ พร้อมจำหน่ายในสหราชอาณาจักรตั้งแต่เดือนตุลาคม 2024 เป็นต้นไป โดยมีราคาเริ่มต้น 21,995 ปอนด์ หรือราว 9.87 แสนบาท สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมคาดว่าจะมีการเปิดเผยอีกครั้งในช่วงใกล้เปิดตัว