เตรียมตัวให้พร้อม! โอโมดา แอนด์ เจคู (ประเทศไทย) ภายใต้ Chery Automobile บริษัทด้านเทคโนโลยียานยนต์ชั้นนำระดับโลกสัญชาติจีน เตรียมเปิดให้จองและส่งมอบ OMODA C5 EV รถยนต์ SUV ขับเคลื่อนไฟฟ้า 100% เวอร์ชันจำหน่ายจริงในประเทศไทย คันแรกในไตรมาส 3 ของปีนี้ หลังจากที่ได้เดินหน้าทดสอบรถยนต์ บนเส้นทางสุดหฤโหดจากใต้จรดเหนือ หาดใหญ่ – กรุงเทพฯ และ กรุงเทพฯ – เชียงราย ทุกสภาพท้องถนนจริง ทั้งถนนในเมือง ถนนลูกรัง ถนนเรียบชายหาด เส้นทางลาดชันขึ้นภูเขา และการขับขี่ลุยน้ำ โดยได้คู่รักคนดัง ปั๊บ-พัฒน์ชัย ภักดีสู่สุข หรือ ปั๊บ โปเตโต้ และ เตย-สุวพิชญ์ ไตรพรวรกิจ ร่วมกับทีมจาก OMODA & JAECOO จับพวงมาลัย พร้อมด้วยทีมผู้แทนจำหน่ายทั่วทุกภูมิภาคร่วมต้อนรับและทดสอบสมรรถนะของรถรอบด้านเพื่อเป็นการยืนยันว่าพร้อมต้อนรับผู้ขับขี่ทุกคนทั่วไทย ทั้งเรื่องของความสามารถของรถไฟฟ้า ขุมพลัง ความปลอดภัยและความสะดวกสบาย ที่ตอบโจทบ์ไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่อย่างแท้จริง
ทะลุความท้าทายของสมรรถนะพลังงานสะอาด
ตลอดการเดินทางกว่า 2,000 กิโลเมตร จากใต้จรดเหนือของรถยนต์ OMODA C5 EV เหล่านักเดินทางได้ทะลายกำแพงการขับขี่และท้าทายสมรรถนะการขับขี่รถยนต์ไฟฟ้าในระยะทางไกล ด้วยจุดเริ่มต้นจากหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา เดินทางสู่หมู่บ้านคีรีวง จังหวัดนครศรีธรรมราช พักดื่มด่ำธรรมชาติก่อนเดินทางผ่านสุราษฎร์ธานี ประจวบคีรีขันธ์ มุ่งสู่กรุงเทพมหานคร ด้วยระยะเวลาในการชาร์จกระแสตรง DC จาก 30% เป็น 80% ในเวลาเพียง 28 นาที ซึ่งการชาร์จหนึ่งครั้งสามารถขับขี่จากหาดใหญ่ถึงนครศรีธรรมราชได้แบบไร้กังวล พร้อมกับความสะดวกสบายในการชาร์จไฟบริเวณด้านหน้าของรถที่ทำให้การชาร์จไฟของนักเดินทางไม่ยุ่งยากในการลากสายอีกต่อไป
นอกจากนี้ ยังได้สัมผัสระบบความปลอดภัยจาก Euro-NCAP จัดเต็มด้วย 14 เทคโนโลยีความปลอดภัย อาทิ ระบบเตือนการออกนอกเลน (LDW) ระบบป้องกันการออกนอกเลน (LDP) ระบบตรวจสอบจุดอับสายตา (BSD) ระบบเตือนจุดอับสายตาขณะถอยหลัง (RCTA) ระบบช่วยเบรกขณะถอยหลัง (RCTB) กับ 3 ฟังก์ชันระบบช่วยเหลือการขับขี่เพิ่มสะดวกสบายมากขึ้น ทั้งระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ (ACC) ระบบรักษารถให้อยู่กลางเลน (ICA) และระบบช่วยเหลือการขับขี่ในสภาพความเร็วต่ำ (TJA) พร้อมด้วยระบบตรวจจับความเหนื่อยล้าของผู้ขับขี่ (DMS) ทำให้การขับขี่เส้นทางถนนสายเอเชียจากใต้ขึ้นกรุงเทพเป็นไปด้วยความสะดวกสบาย และปลอดภัย
สัมผัสไลฟ์สไตล์ LOHAS แห่งอนาคต
นอกจากสมรรถนะและเทคโนโลยียนตรกรรมแห่งอนาคตของรถยนต์ OMODA C5 EV แล้ว ในการทดลองขับขี่บนถนนจริงครั้งนี้ ยังพาไปสัมผัสวิถีชีวิตของชาว LOHAS แบบคนรุ่นใหม่ที่ใส่ใจการมีชีวิตที่ดีควบคู่ไปกับการมีสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน ตลอดเส้นทางกรุงเทพถึงเชียงราย แวะไปดูสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เดินทางข้ามสะพานเดชาติวงศ์ ประตูสู่ภาคเหนือ แวะไหว้พระพุทธชินราช วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร (วัดใหญ่) จังหวัดพิษณุโลก เข้าสู่จังหวัดแพร่ ตั้งแคมป์ใช้ชีวิตร่วมกับชุมชนแบบเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมแบบไม่ปล่อยมลพิษ Zero Carbon และมุ่งหน้าปลายทางจังหวัดเชียงราย ทดลองระบบสั่งการด้วยเสียง และเทคโนโลยี Vehicle to Load (V2L) เทคโนโลยีที่เปลี่ยนไฟฟ้าจากรถออกไปใช้งาน ในโหมดสำหรับแคมปิ้ง (Camping Mode) ตอบสนองการใช้งานในการเดินทางประจำวันรวมถึงการเดินทางระยะไกล พร้อมมอบประสบการณ์ในการขับขี่ปลอดภัย ล้ำสมัย และสะดวกสบาย
ดีไซน์เสมือนแสงแห่งการเคลื่อนไหว
ดีไซน์แบบครอสโอเวอร์ถือเป็นหนึ่งในจุดเด่นของรถยนต์ OMODA C5 EV ที่มาในคอนเซ็ปต์ Light of Movement การออกแบบภายนอกตัวรถให้เล่นแสงและเงาอย่างลงตัว ดีไซน์สุดล้ำสมัย สะท้อนตัวตนผู้ขับขี่รุ่นใหม่ที่มีสไตล์ไม่ซ้ำใครและเป็นผู้นำเทรนด์ ดีไซน์ภายในห้องโดยสาร มาพร้อมห้องโดยสารกระจกหน้าต่างคู่หน้าแบบลดเสียงรบกวนภายนอก กล้อง 540 องศา ไฟเรืองแสงล้อมรอบห้องโดยสาร 64 เฉดสี หน้าจอแสดงผลขนาด 24.6 นิ้วแบบทัชสกรีน ลำโพง SONY 8 ตำแหน่งสุดกระหึ่ม เบาะนั่งคู่หน้ากับฟังก์ชันระบายอากาศ เสริมความสะดวกสบาย ในการเดินทางครั้งนี้ยังได้ทดลองระบบการตั้งค่าสำหรับสัตว์เลี้ยง (Pet Friendly Setting) ที่ช่วยให้สัตว์เลี้ยงรออยู่ในรถได้อย่างสบายใจโดยไม่ก่อนให้เกิดมลพิษและช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
การทดสอบ OMODA C5 EV จากใต้จรดเหนือในครั้งนี้ ตลอดการเดินทางกว่า 2,000 กิโลเมตร มีค่าใช้จ่ายราว 2,400 บาท (DC Charging) เท่านั้น ถืออีกเครื่องยืนยันว่ารถยนต์ไฟฟ้า 100% คันแรกจากแบรนด์ OMODA & JAECOO คันนี้ พร้อมแล้วที่จะส่งมอบประสบการณ์ฏารขับขี่ที่เหนือระดับให้กับไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ หมดห่วงเรื่องความปลอดภัยและความสะดวกสบาย สามารถออกไปใช้ชีวิตได้อย่างเต็มที่ที่ใจฝัน
ผู้ขับขี่ชาวไทยทุกคนเตรียมเป็นเจ้าของยนตรกรรมแห่งอนาคต พร้อมให้เปิดจองภายในไตรมาส 3 ของปีนี้อย่างแน่นอน ด้วยศูนย์บริการแบบครบวงจรจากผู้แทนจำหน่ายกว่า 36 แห่งทั่วทุกภูมิภาค ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ภายในปี 2567 ให้ความเชื่อมั่นพร้อมสนับสนุนและช่วยเหลือผู้ขับขี่ในประเทศไทยอย่างเต็มที่ เพื่อส่งมอบบริการที่ตรงกับความต้องการของผู้ใช้งาน และเพิ่มความสะดวกสบายให้กับลูกค้าทุกคน