Electrify America (EA) ผู้ให้บริการสถานีชาร์จ EV ในสหรัฐฯ กำลังทดสอบกลยุทธ์ใหม่ที่ช่วยลดเวลารอชาร์จลงเมื่อสถานีมีความพลุกพล่านสูง โดยไม่ให้ลูกค้าชาร์จรถจนถึง 100%
ชาร์จได้มากสุด 85%
กลยุทธ์นำร่องครั้งนี้เรียกว่า Congestion Reduction Pilot โดย EA พุ่งเป้าหมายไปที่ “สถานีที่มีการใช้งานสูง” บริเวณแคลิฟอร์เนียใต้ ด้วยการกำหนดให้รถยนต์ไฟฟ้าสามารถชาร์จ DC ได้สูงสุดเพียง 85% เท่านั้น
อย่างที่ทราบกันในปัจจุบันว่า ความเร็วของการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้านั้นแตกต่างกับรถน้ำมันที่ใช้เวลาไม่กี่นาทีเพื่อรอให้หัวจ่ายตัด โดยความเร็วในการชาร์จ EV นั้นไม่คงที่ รถยนต์ไฟฟ้าส่วนใหญ่จะลดอัตราการชาร์จลงหลังแบตเตอรี่อยู่ที่ 80% ขึ้นไป ซึ่งอาจต้องใช้เวลาเกือบเท่าตัวเพื่อ 100% เพราะเป็นระบบของตัวรถเพื่อยืดอายุการใช้งานแบตเตอรี่และป้องกันไม่ให้แบตเตอรี่ร้อนจนเกินไป
ดังนั้น สำหรับผู้ให้บริการสถานีชาร์จที่เห็นรถยนต์ไฟฟ้ามากมายต่อแถวกันหน้าตู้ในช่วงวันหยุดยาว จึงต้องการประหยัดเวลาให้ทุกคนด้วยการกำหนดให้ชาร์จรถได้ไม่เกิน 85%
ลด "นักสู้หน้าตู้ชาร์จ"
โครงการนำร่องดังกล่าวจะเริ่มใช้ในต้นเดือนกรกฏาคมนี้ โดยเป็นการทดลองของ Electrify America เท่านั้น และบริษัทได้บอกกับ Green Car Reports ว่าเป้าหมายคือต้องการลดการต่อคิวอันยาวนานหน้าตู้ชาร์จเท่านั้น โดยเหตุผลที่เลือกสถานีดังกล่าวในการทดลองนั่นเป็นเพราะ "มีการใช้งานสูง ใช้เวลารอนาน และความใกล้ชิดกับสถานีอื่น ๆ หากลูกค้าต้องการชาร์จให้เต็ม 100%"
EA ยังระบุว่ามีนโยบายอื่น ๆ ที่ทำควบคู่กันเพื่อลดเวลารอชาร์จไฟ ได้แก่ เก็บค่าจอดแช่ (idle fee) เพื่อป้องกันการชาร์จเกินเวลา, การอัพเกรดฮาร์ดแวร์, หรือการขยายรูปแบบสถานี
โดย EA ระบุข้อมูลในหน้าของโครงการนี้ว่า เครื่องชาร์จจะสิ้นสุดเซสชันการทำงานเมื่อแบตเตอรี่ถึง 85% และระบบจะคิดค่าชาร์จตามโครงสร้างราคาของปี 2023 ซึ่งจะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมหากแช่ไว้เกิน 10 นาที โดยค่าธรรมเนียมเป็นไปตามปกติ
สำหรับในบ้านเรา Tesla Supercharger และ EA Anywhere ก็มีนโยบายเพิ่มค่า “จอดแช่” เมื่อชาร์จเกินเวลามาแล้ว หากใช้นโยบายกำหนดเปอร์เซ็นต์การชาร์จเข้าไปด้วยก็คงช่วยลดเวลาหน้าตู้ชาร์จได้ดีทีเดียว