มีงานวิจัยพบว่า ผู้คนส่วนใหญ่ต้องการให้รถ EV มีเสียงแบบ “รถยนต์” อย่างที่คุ้นเคยมากกว่าเสียง “เปิดวาร์ป” อย่างทุกวันนี้
“เสียง” สำหรับรถยนต์ เป็นหัวข้อที่มีคนถกเถียงกันอยู่ไม่จบสิ้นตั้งแต่เริ่มมีรถยนต์เข้ามา ในยุคเครื่องยนต์ มีทั้งการออกแบบให้เครื่องทำงานได้เงียบที่สุดในรถหรู ไปจนถึงทำให้เครื่องยนต์ในมัลเซิลคาร์ที่สามารถแสดงพลังมายังโสตประสาทของเราให้มากที่สุด การออกแบบเสียงให้เหมาะกับรถแต่ละคันจึงเป็นเรื่องสำคัญอยู่ไม่น้อย
เมื่อมาในยุคของ EV มีเพียงการทำงานของมอเตอร์ไฟฟ้าที่แทบจะไร้เสียงรบกวน แต่รถ EV จำเป็นต้องมีการปล่อยเสียงออกมาด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย เสียงในยุค EV จึงมีความหลากหลายมากขึ้น ตั้งแต่การจำลองมาจากเครื่องยนต์จริง ๆ ไปจนถึงเสียงล้ำ ๆ แบบยานอวกาศไปเลย
เสียงใน BMW i7 ประพันธ์โดย Hans Zimmer
เสียงรถ EV มีไว้เพื่อความปลอดภัย
สำนักงานความปลอดภัยการจราจรบนทางหลวงแห่งสหรัฐฯ (NHTSA) กำหนดไว้ตั้งแต่ปี 2018 ว่า รถ EV ใหมาทุกคันหลังจากนี้ต้องส่งเสียงเมื่อเดินทางที่ความเร็ว 30 กม./ชม. ขึ้นไป โดย NHTSA คาดการณ์ว่ากฎหมายนี้จะทำให้อุตสาหกรรมยานยนต์ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น 10 ล้านดอลล่าร์ต่อปีสำหรับลำโพงกันน้ำด้านนอกตัวรถ แต่จะช่วยประหยัดเงินได้ถึง 320 ล้านดอลล่าร์จากอุบัติเหตุของคนเดินถนน
การเข้ามาของกฎนี้ทำให้รถยนต์ไฟฟ้ามีเสียงที่หลากหลาย นอกจากเสียงจะทำให้ผู้คนรับรู้แล้ว ยังมีความท้าทายที่จะทำให้คนชื่นชอบ รวมถึงยังมีกฎที่กำหนดถึงความถี่ที่รถสามารถปล่อยออกมาอีกด้วย
ผู้คนต้องการเสียงธรรมชาติมากกว่า
อย่างไรก็ตาม มีงานวิจัยที่ศึกษาพบว่า เสียงที่มีความถี่สูงอาจสร้างความรำคาญและส่งผลให้หูเมื่อยล้าได้ โดยผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ระบุว่าพวกเขาต้องการเสียงที่มาจากธรรมชาติ เช่น ลม น้ำ หรือ White Noise มากกว่าเสียงที่ดู “Sci-Fi” โดยงานวิจัยนี้เผยแพร่โดย Listen แบรนด์ดิ้งเอเจนซีเกี่ยวกับเสียง และบริษัทวิจัยทางการตลาด CloudArmy โดยสำรวจผู้ใหญ่ชาวอเมริกันกว่า 400 คน ซึ่งกว่าครึ่งเป็นเจ้าของรถยนต์ไฟฟ้า
เนื่องจากเสียงของรถ EV มีแนวโน้มไปทาง “เปิดวาร์ป” มากขึ้น ผู้คนจึงเริ่มโหยหาเสียงเครื่องยนต์แบบดั้งเดิมมากขึ้น งานวิจัยยังสำรวจโดยแบ่งเสียงออกเป็น 10 แบบ มีทั้งเสียงที่มีโทนและไม่มีโทน ผลออกมาคือเสียงที่ไม่มีโทนจะได้รับคะแนนมากกว่าในแง่ของความชอบ และถือว่ามีลักษณะเหมือนรถยนต์ที่คุ้นเคยมากกว่า ส่วนเสียงที่มีโทนสูงจะให้การรับรู้ที่มากกว่าเล็กน้อย
เสียงแบบไม่มีโทนจะสมจริงมากกว่า
Paul Amitai ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์บริหารของ Listen ให้สัมภาษณ์กับ Auto News อธิบายถึงความน่าดึงดูดของเสียงจากธรรมชาติว่า “หากคุณคิดถึงเสียงที่รถของคุณทำบ่อย ๆ เสียงเหล่านั้นก็จะอยู่ในช่วง (textural range) นั้นมากกว่า” เสียงที่ไม่มีโทนจึงให้ความรู้สึกสมจริงและเหมือนรถยนต์จริง ๆ มากกว่าสำหรับผู้เข้าร่วมวิจัย ซึ่งคล้ายกับเสียงเครื่องยนต์จากรถน้ำมันที่คุ้นเคย