รถคันแรกมีเฮ.. ใกล้ครบกำหนดเปลี่ยนมือได้ 16 ก.ย.นี้
คุณสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ รองประธานและโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เผยว่า นโยบายรถคันแรก ระหว่างวันที่ 16 กันยายน 2554 ใกล้ครบกำหนดเงื่อนไขห้ามเปลี่ยนมือภายใน 5 ปีแล้ว แม้จะไม่ส่งผลโดยตรงกับตลาดรถยนต์มากนัก เนื่องจากช่วงเริ่มนโยบายรถคันแรก ไทยประสบกับอุทกภัยครั้งใหญ่ในพื้นที่ภาคกลาง ทำให้เกิดปัญหาขาดแคลนชิ้นส่วนยานยนต์ในการประกอบรถยนต์ โรงงานส่วนใหญ่ต้องชะลอการผลิต ประกอบกับน้ำท่วมใหญ่เป็นเวลานาน ทำให้ผู้ประสบภัยชะลอการซื้อรถใหม่ ส่วนที่ขายได้จะเป็นภาคอื่นๆ เช่น ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่ไม่ประสบปัญหาน้ำท่วม
นโยบายรถคันแรกในรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีที่เริ่มตั้งแต่วันที่ 16 กันยายน 2554 และสิ้นสุดในวันที่ 31 ธันวาคม 2555 นั้นได้การตอบรับเป็นอย่างดียิ่ง ประชาชนให้ความสนใจเพื่อซื้อรถยนต์คันแรกในชีวิต ด้วยมูลเหตุจูงใจได้รับเงินภาษีคืนกันสูงสุดถึง 1 แสนบาท ส่งผลให้บรรดาค่ายรถยนต์มียอดขายแบบก้าวกระโดดทันตาเห็น ขณะที่หลักเกณฑ์ที่ผู้ใช้สิทธิ์ต้องครอบครองรถยนต์ห้ามโอนเปลี่ยนมือในระยะเวลา 5 ปีนั้นได้ฤกษ์ดีเดย์ 16 กันยายน 2559 นี้เริ่มเปลี่ยนมือได้แล้วทั้ง 1.1 ล้านคัน
โครงการรถคันแรก มีผลดีตรงที่ทำให้อุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ยอดการผลิตปี 2556 ขยับขึ้นเป็นปีละกว่า 2 ล้านคัน ซึ่งสูงเป็นอันดับ 9 ของโลก แต่หลังจากนั้นความต้องการก็ลดลงตามไปด้วย สำหรับผลเสียนั้นก่อให้เกิดหนี้ครอบครัว จากการเช่าซื้อรถยนต์ถึง 80 % ของจีดีพี มีการเช่าซื้อรถยนต์สูงเกินล้านล้านบาทเป็นครั้งแรก ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยระบุว่า เป็นสาเหตุหนึ่งที่มีให้กำลังการซื้อของผู้บริโภคหดตัวลงทุกประเภทสินค้า นอกจากนี้ โครงการรถคันแรกยังเป็นการบิดเบือนตลาด จากปกติยอดขายในประเทศอยู่ที่ปีละ 8-9 แสนคัน ก็พุ่งเป็นปีละ 1.4 ล้านคันโรงงานประกอบต้องเร่งการผลิตเป็น 2-3 กะ พร้อมโอที จึงส่งผลกระทบต่อเนื่องเป็นวงกว้างมาถึงปัจจุบัน
โครงการรถคันแรกมีใช้สิทธิ์ประมาณ 1.255 ล้านคัน แต่ใช้จริงประมาณ 1.1 ล้านคัน รถสามารถส่งมอบได้จริงประมาณกลางปี 2555 เมื่อผู้ใช้สิทธิ์ครอบครองรถนาน 5 ปี จึงสามารถเปลี่ยนมือได้ ดังนั้น กลางปี 2560 ผู้เข้าร่วมโครงการส่วนหนึ่งจะเริ่มขายรถคันเดิม และซื้อรถคันใหม่ที่มีเทคโนโลยีมากกว่าเดิม ค่ายรถทุกรายจึงเตรียมเปิดตัวรถรุ่นใหม่ๆ เพื่อมากระตุ้นกำลังการซื้ออย่างแน่นอน
ที่มา: หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ
www.thansettakij.com