รถยนต์ 7 ที่นั่ง นั้นจัดเป็นรถยนต์ใน กลุ่มรถอเนกประสงค์ (SUV, PPV, MPV และ Crossover) ที่จะมีประโยชน์ใช้สอยมากกว่ารถยนต์ธรรมดาทั่วไป ซึ่งประกอบไปด้วยรถแบบ SUV (Sport Utility Vehicle) ที่มีจุดเด่นตรงที่สามารถลุยได้มากกว่าไม่ว่าจะเป็นจากสมรรถนะหรือการบรรทุกสัมภาระได้มากขึ้น ส่วน PPV (Pick-Up Passenger Vehicle) เป็นรถที่มีพื้นฐานมาจากรถกระบะที่สามารถรองรับได้ถึง 7 ที่นั่ง, MPV (Multi Purpose Vehicle) เป็นรถอเนกประสงค์ 7 ที่นั่ง ที่มีลักษณะคล้ายกับรถตู้ และ Crossover (Crossover Utility Vehicle) ที่ถูกสร้างบนพื้นฐานมาจากรถเก๋งแล้วมายกสูงทำให้มีความคล่องตัวที่มากกว่ารถยนต์ทั่วไป แล้วทีนี้ รถอเนกประสงค์ หรือ รถยนต์ 7 ที่นั่ง เหล่านี้เวลาทำประกันภัย จะมีราคาแพงไหม
การทำประกันภัย (ภาคสมัครใจ) ให้กับรถยนต์ 7 ทั่นั่ง นั้นจะมีราคาถูกหรือแพงนั้นขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยทั้ง ชั้นประกันภัย, รุ่นและปีของรถยนต์ 7 ที่นั่ง , อายุ-ประวัติของผู้ขับขี่ รวมถึงเงื่อนไขพิเศษที่ทางบริษัทประกันภัยกำหนด แต่โดยทั่วไปแล้วรถยนต์ที่มี 7 ที่นั่ง จะมีค่าเบี้ยประกันที่สูงกว่ารถยนต์ขนาดเล็กหรือรถยนต์นั่งส่วนบุคคลทั่วไป เพราะ
- ขนาดและความจุของรถ : ขนาดตัวรถยนต์ 7 ที่นั่ง มักจะมีขนาดใหญ่ และรองรับผู้โดยสารได้มากกว่ารถยนต์ทั่วไป ทำให้มีความเสี่ยงและค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงที่สูงกว่า
- ค่าซ่อมบำรุงและอะไหล่ : ด้วยความที่รถยนต์ 7 ที่นั่งมักจะมีขราดใหญ่ อีกทั้งมีเทคโนโลยีสมัยใหม่และอุปกรณ์ที่ถูกติดตั้งเอาไว้ทำให้เมื่อถึงเวลาที่ต้องซ่อมบำรุงก็จะมีราคาที่สูงกว่ารถยนต์ทั่วไป
- ความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ : เพราะเป็นรถสำหรับครอบครัว ทำให้ถูกใช้งานบ่อยจึงมีความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุสูงขึ้นเป็นเงาตามตัว อีกทั้งยังสามารถรองรับได้ 7 ที่นั่ง จึงมีความเสี่ยงที่จะเกิดความเสียหายมากกว่ารถยนต์ทั่วไป
- ราคา : ราคาของรถยนต์ 7 ที่นั่ง นั้นมักมีราคาสูงกว่ารถยนต์ทั่วไป จึงทำให้ค่าเบี้ยประกันภัยก็จะมีราคาที่สูงขึ้นเพื่อครอบคลุมความเสี่ยงในการเคลมเป็นเงาตามตัวนั่นเอง
- ชั้นประกันภัย : นี่ก็เป็นอีก 1 ส่วนสำคัญที่ทำให้ราคาค่าเบี้ยจะถูกหรือแพงตามชั้นของประกันภัย (1, 2+, 2, 3+, หรือ 3) ถ้าอยากได้ความคุ้มครองที่ครอบคลุมก็เลือกืประกันภัยชั้น 1 ที่มักมีค่าเบี้ยที่สูงที่สุดแต่ให้ความคุ้มครองที่ครอบคลุมที่สุด ส่วนชั้นอื่น ๆ ก็จะมีราคาที่ลดหลั่นกันลงไป
แต่ก็ยังมีเคล็ดลีบในการหาประกันภัยรถยนต์ 7 ที่นั่ง ราคาถูกได้ด้วยเช่นกัน ดังนี้
- เปรียบเทียบค่าเบี้ยจากหลายบริษัท : ก่อนที่จะตัดสินใจทำประกันภัยควรตรวจสอบราคาค่าเบี้ยประกันภัยจากหลาย ๆ บริษัทฯ เพื่อหาข้อเสนอที่ดีที่สุด โดยสามารถใช้เว็บไซต์เปรียบเทียบหรือปรึกษาเอเย่นต์ประกันภัยเพื่อหาข้อเสนอที่ดีที่สุด
- เลือกชั้นประกันภัยที่เหมาะสม : การเลือกชั้นประกันภัยที่ตรงกับความต้องการก็เป็น 1 ในทางเลือกที่ทำให้คุณสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายได้ โดยดูจากความถี่ในการใช้รถ, ความเสี่ยงของรถของคุณ ไปประกอบการพิจารณาในการเลือกชั้นประกันภัย
- พิจารณาค่าความเสี่ยงส่วนแรก : การเลือกค่าความเสี่ยงส่วนแรกที่สูงขึ้นอาจช่วยลดเบี้ยประกันได้ แต่ควรตรวจสอบให้ชัดเจนว่าคุณรับความเสี่ยงนี้ได้ในกรณีเกิดอุบัติเหตุ
- ตรวจสอบส่วนลดต่าง ๆ : แทบจะทุกบริษัทประกันภัยมักมีส่วนลดพิเศษ เช่น ส่วนลดสำหรับผู้ขับขี่ที่มีประวัติดี, ส่วนลดสำหรับการติดตั้งอุปกรณ์ความปลอดภัย หรือส่วนลดสำหรับการทำประกันภัยออนไลน์
- ซื้อประกันภัยเป็นแพ็คเกจ : บางครั้งการซื้อประกันภัยหลายประเภทรวมกัน เช่น ประกันภัยรถยนต์ และประกันภัยสุขภาพ จากบริษัทเดียวกัน อาจช่วยลดเบี้ยประกันได้
- เจรจากับบริษัทประกันภัย : ถ้าทำทุกอย่างแล้วยังลดค่าเบี้ยไม่ตรงตามที่ต้องการ ก็อาจลองเจรจากับบริษัทประกันภัยเพื่อขอส่วนลดเพิ่มเติม หรือสอบถามเกี่ยวกับโปรโมชันพิเศษที่อาจมีอยู่ในขณะนั้น ๆ ดูก็ได้
- เลือกบริษัทประกันภัยที่มีชื่อเสียงและบริการดี : นอกจากราคาถูกแล้ว ควรพิจารณาบริษัทประกันภัยที่มีความน่าเชื่อถือและมีบริการลูกค้าที่ดี เพื่อให้มั่นใจว่าคุณจะได้รับความคุ้มครองและการช่วยเหลือที่ดีที่สุด
การทำตามขั้นตอนเหล่านี้จะช่วยให้คุณสามารถหาประกันภัยรถอเนกประสงค์หรือรถยนต์ 7 ที่นั่งในราคาที่คุ้มค่าและเหมาะสมกับความต้องการของคุณได้นั่นเอง