จากการเปิดเผยข้อมูลของ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หรือ ส.อ.ท. ถึงสถิติการผลิต, จำหน่าย และส่งออก ของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยในเดือนกรกฎาคมนั้นมียอดอยู่ที่ 124,829 คัน ซึ่งเพิ่มขึ้นจากเดือนมิถุนายนที่มียอดเพียง 116,289 คัน (คิดเป็นส่วนต่าง 8,540 คัน) ส่วนการส่งออกมียอด 83,527 คัน ก็ลดลงจากเดือนมิถุนาที่มียอดอยู่ที่ 89,071 คัน (ลดลงถึง 5,544 คัน)
การผลิต
จากตัวเลขสถิติจำนวนรถยนต์ที่ผลิตขึ้นในเดือนกรกฎาคมนั้นอยู่ที่ 124,829 คัน แบ่งออกเป็นกลุ่มรถยนต์นั่ง (Passenger Car) 45,479 คัน ในตัวเลนี้จะแยกออกเป็น
- รถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ต่ำกว่า 1,500 ซีซี จำนวน 30,621 คัน
- รถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ 1,501-1,800 ซีซี จำนวน 4,390 คัน
- รถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ 1,801-2,000 ซีซี จำนวน 5,254 คัน
- รถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ 2,001-2,500 ซีซี จำนวน 412 คัน
- รถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ไม่ระบุความจุซีซี จำนวน 4,250 คัน
- รถยนต์ไฟฟ้า BEV จำนวน 552 คัน
นอกจากนี้ก็จะมีกลุ่มรถตู้ 567 คัน, กลุ่มรถอเนกประสงค์แบบ PPV 15,552 คัน, กลุ่มรถกระบะขนาด 1 ตัน 62,316 คัน และรถบรรทุก 945 คัน เมื่อเปรียบเทียบดูกับยอดเดือนมิถุนายนก็จะเห็นว่ในกลุ่มรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ต่ำกว่า 1,500 ซีซี, รถอเนกประสงค์แบบ PPV และกลุ่มรถกระบะขนาด 1 ตัน (Double Cab) นั้นมีตัวเลขการผลิตที่เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยสามารถดูได้จากข้อมูลด้านล่าง
ยอดผลิตรวมเดือนกรกฎาคม 124,829 คัน เพิ่มขึ้น 8,540 คัน จากยอดเดือนมิถุนายน ที่มียอดผลิตอยู่ที่ 116,289 คัน โดยแบ่งออกเป็น
- รถยนต์นั่งที่มีเครื่องยนต์น้อยกว่า 1,500 ซีซี มีจำนวน 30,621 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 2,266 คัน
- รถยนต์นั่งที่มีเครื่องยนต์ 1,501-1,800 ซีซี มีจำนวน 4,390 คัน ลดลงจากเดือนก่อน 56 คัน
- รถยนต์นั่งที่มีเครื่องยนต์ 1,801-2,000 ซีซี มีจำนวน 5,254 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 659 คัน
- รถยนต์นั่งที่มีเครื่องยนต์ 2,001-2,500 ซีซี มีจำนวน 412 คัน ลดลงจากเดือนก่อน 8 คัน
- รถยนต์ไฟฟ้าแบบ BEV มีจำนวน 552 คัน ลดลงจากเดือนก่อน 245 คัน
- รถยนต์นั่งที่ไม่ระบุความจุซีซี มีจำนวน 4,250 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 526 คัน
- รถตู้-รถไมโครบัส มีจำนวน 567 คัน ลดลงจากเดือนก่อน 129 คัน
- รถอเนกประสงค์แบบ PPV มีจำนวน 15,522 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 2,245 คัน
- รถกระบะขนาด 1 ตัน มีจำนวน 10,269 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 171 คัน
- รถกระบะขนาด 1 ตันแบบ 4 ประตู มีจำนวน 52,047 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 3,005 คัน
- รถบรรทุกขนาดน้อยกว่า 5 ตัน มีจำนวน 110 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 2 คัน
- รถบรรทุกขนาด 5-10 ตัน มีจำนวน 120 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 37 คัน
- รถบรรทุกขนาด 10 ตัน ขึ้นไป มีจำนวน 715 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 67 คัน
ผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ
ยอดการผลิตรถยนต์เพื่อจำหน่ายในประเทศในเเดือนกรกฎาคมนั้นอยู่ที่ 46,394 คัน ลดลงจากเดือนมิถุนายน 1,268 คัน โดยยอดการผลิตรถยนต์เพื่อจำหน่ายในประเทศรวมตั้งแต่เดือนมกราคม-กรกฎาคม จะอยู่ที่ 354,421 คัน แบ่งออกเป็น
- รถยนต์นั่งผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ 16,571 คัน ลดลงจากเดือนก่อน 1,166 คัน
- รถเพื่อการพาณิชย์มีการผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศในเเดือนเมษายนนั้นอยู่ที่ 29,823 คัน ลดลงจากเดือนก่อน 103 คัน โดยยอดการผลิตรถเพื่อการพาณิชย์เพื่อจำหน่ายในประเทศรวมตั้งแต่เดือนมกราคม-กรกฎาคม จะอยู่ที่ 218,524 คัน แบ่งออกเป็น
- รถตู้-รถไมโครบัส มีจำนวน 1,140 คัน ลดลงจากเดือนก่อน 154 คัน
- รถกระบะขนาด 1 ตัน มีจำนวน 16,125 คัน ลดลงจากเดือนก่อน 547 คัน
- รถบรรทุกขนาดน้อยกว่า 1 ตัน มีจำนวน 74 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 9 คัน
- รถบรรทุกขนาด 2-4 ตัน มีจำนวน 571 คัน ลดลงจากเดือนก่อน 57 คัน
- รถบรรทุกขนาดมากกว่า 4 ตัน และรถบัส มีจำนวน 747 คัน ลดลงจากเดือนก่อน 157 คัน
- รถขับเพื่อการพาณิชย์ที่่ใช้ระบบเคลื่อนที่ล้อ มีจำนวน 11,165 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 807 คัน
ผลิตเพื่อส่งออก
จากยอดการผลิตเดือนกรกฎาคมที่กล่าวมาข้างต้นนั้นมีการส่งออกรถยนต์แบบ CBU หรือรถที่ส่งออกแบบเป็นคันนั้นมีจำวน 83,527 คัน เมื่อเทียบกับเดือนมิถุนายนนั้นมียอดลดลงถึง 5,544 คัน ณ ปัจจุบันมียอดรวมทั้งสิ้น 602,567 คัน ของยอดการผลิตเพื่อส่งออก
จากข้อมูลดังกล่าวข้างต้นจะเห็นได้ว่ารถยนต์ที่ผลิตนั้นมีการลดลงอย่างเห็นได้ชัด เป็นผลมาจากหลาย ๆ บริษัท เริ่มปรับแผนยุติการผลิตในประเทศไทยและหันไปนำเข้ารถยนต์มาจำหน่ายแทน แต่ในสัดส่วนที่มีการเพิ่มขึ้นในบางประเภทนั้น ก็เพราะมีการเริ่มผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย (หมายรวมถึง HEV-Hybrid Electric Vehicle หรือรถยนต์ไฟฟ้าไฮบริด, PHEV-Plug-in Hybrid Electric Vehicle หรือรถยนต์ไฟฟ้าปลั๊กอินไฮบริด, BEV-Battery Electric Vehicle หรือรถยนต์ไฟฟ้าที่ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ และ FCEV-Fuel Cell Vehicle หรือรถยนต์ไฟฟ้าเซลเชื้อเพลิง) และในอนาคตก็จะมีแบรนด์อื่น ๆ เพิ่มขึ้นมาส่วนการตั้งโรงงานนั้นก็คงต้องติดตามข่าวสารกันต่อไป
ข้อมูลจาก สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หรือ ส.อ.ท.