ช่วงนี้เป็นยุคที่รถยนต์ไฟฟ้ากำลังเฟื่องฟูในไทย เนื่องจากค่ายรถยนต์ไฟฟ้าแบรนด์ต่างๆ ทยอยพากันมาเปิดตัว พร้อมการอุดหนุนจากภาครัฐ ซึ่งก็ได้รับเสียงตอบรับเป็นอย่างดีจากกลุ่มลูกค้าชาวไทย แต่ในขณะเดียวกันก็ยังมีบางส่วนที่ยังไม่พร้อมก้าวไปสู่รถยนต์ไฟฟ้า นี่เองที่ทำให้รถยนต์อีโคคาร์ (Eco Car) ที่ถูกผลิตขึ้นมาเน้นความประหยัด (น้ำมัน,ราคา) และมีเครื่องยนต์ที่มีขนาดเล็ก (ทั้งเครื่องยนต์เบนซินและดีเซล) แต่ยังคงตอบโจทย์การใช้งานได้เป็นอย่างดี นี่เองที่ทำให้รถยนต์ Eco Car จึงได้รับความสนใจเรื่อยมา
โดยรถ Eco Car นี้จะมี ข้อดี และ ข้อด้อย อะไรบ้าง? เราจะไปดูกันมาเริ่มกันที่ข้อดีกันก่อน โดยแบ่งอออกเป็น 4 ข้อหลักๆ คือ
- สบายใจ..เซฟ ๆ เพราะประหยัดน้ำมันสุดๆ : เป็นผลมาจากการที่รถ Eco Car นั้นจะเน้นไปที่ "ความประหยัด" เป็นหลักทำให้จะมีอัตราสิ้นเปลืองที่ดีกว่ารถยนต์ประเภทอื่นๆ โดยการใช้เครื่องยนต์ที่มีขนาดความจุตามข้อกำหนด (เครื่องยนต์เบนซินมีขนาดไม่เกิน 1,300 ซีซี, เครื่องยนต์ดีเซลขนาดไม่เกิน 1,500 ซีซี)
- ปล่อยมลพิษน้อยเลยเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม : รถในกลุ่ม Eco Car ทุกคันจะต้องผ่านการตรวจสอบมาตรฐานด้านมลพิษในระดับ EURO 5 ขึ้นไป ซึ่งมาตรฐาน EURO นี้ย่อมาจาก European Emission Standards ซึ่งเป็นการควบคุมมลพิษในยุโรป กำหนดปริมาณการปล่อยมลพิษที่จะต้องไม่เกินค่าต่างๆ ตามที่กำหนด
- สบายใจหายห่วงเรื่องความปลอดภัย : รถ Eco Car นั้นจะได้รับการออกแบบให้มีความแข็งแรงตามมาตรฐาน และ ความปลอดภัย ไม่ว่าจะเป็นระบบต่างๆ ที่จะช่วยในเรื่องของการขับขี่, ระบบเบรก ฯลฯ
- ตัดสินใจง่ายเพราะราคาเข้าถึงง่าย : รถในกลุ่ม Eco Car นั้นจะมีราคาถูกกว่ารถประเภทอื่นเนื่องมาจากเป็นรถที่มีการลดต้นทุนการผลิต อีกทั้งยังได้รับการส่งเสริมจากภาครัฐให้มีการผลิตรถยนต์ในไทย ทำให้สามารถทำราคาให้เข้าถึงได้ง่ายสำหรับผู้ซื้อ
ด้วยข้อดีเหล่านี้ รถ Eco Car จึงได้รับความนิยม แต่ก็มีข้อด้อยอยู่เหมือนกัน โดยสรุปออกมาได้ 3 ข้อ ดังนี้
- รถมีขนาดเล็ก..อาจลดทอนความสะดวกสบายไปบ้าง : เนื่องจากรถ Eco Car เน้นไปที่ความประหยัดจากอัตราสิ้นเปลืองที่ต้องผ่านมาตรฐาน จึงถูกออกแบบให้มีขนาดเล็ก ซึ่งจะมีผลต่อความจุภายในห้องโดยสาร, พื้นที่เก็บสัมภาระ ที่อาจไปกระทบต่อความสะดวกสบายไปบ้าง แต่ถ้ายอมรับได้มันก็ไม่ได้ถึงกับเป็นข้อเสียอะไร แค่ด้อยกว่ารถประเภทอื่นเท่านั้นเอง
- พละกำลังอาจไม่พอในบางสถานการณ์ : ด้วยเครื่องยนต์ของรถ Eco Car จะมีขนาดความจุที่ไม่มากนัก ทำให้มีพละกำลัง แรงม้า,แรงบิด น้อยกว่ารถยนต์ประเภทอื่น ทำให้เหมาะกับการขับขี่ในเมือง แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเดินทางระยะไกลไม่ได้ อาจจะต้องเพิ่มความระมัดระวังให้มากขึ้นในบางสถานการณ์ โดยเฉพาะเวลาเร่งแซง เป็นต้น
- ความแข็งแรงสู้รถในคลาสอื่นๆ ได้ยาก : จากการออกแบบเพื่อความประหยัดอาจทำให้ความแข็งแรง,ทนทาน ดูลลดลงเมื่อนำไปเทียบกับรถประเภทอื่น แต่ก็ได้มีการพัฒนาทั้งในเรื่องการประกอบ,โครงสร้างเพื่อเพิ่มความแข็งแรงเท่าที่จะสามารถทำได้
ส่วนเรื่องอัตราสิ้นเปลืองที่บางท่านอาจมีข้อสงสัยว่าจะประหยัดได้ตามที่ค่ายรถยนต์ได้ประกาศออกมาหรือไม่นั้นเรื่องนี้ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการขับของตัวเจ้าของรถ รวมถึงการบรรทุกสัมภาระ และสภาพการจราจรในแต่ละการช่วงของการขับขี่ด้วยเช่นกัน ดังนั้น ควรพิจารณาทั้งข้อดี และ ข้อด้อย เพื่อให้เหมาะสมกับความต้องการและสถานการณ์การใช้งานของท่านเอง
และที่สำคัญที่สุดคือ รถในกลุ่ม Eco Car นี้ มีค่าประกันภัยรถยนต์ที่ไม่สูงมากนัก ยกตัวอย่างถ้าคำนวณค่าประกันภัยชั้น 1 จาก
รู้ใจ โดยอ้างอิงจากรถ
Honda City 1.0 RS (2023) ซึ่งเป็นรถที่มาพร้อมเครื่องยนต์เทอร์โบ แต่จะเน้นไปที่ความเร็วต้น ทั้งยังเป็น 1 ในเรื่องการขับขี่ พร้อม Honda Sensing โดยมีอัตราสิ้นเปลืองอยู่ที่ 20 กิโลเมตร/ลิตร โดยจะเสียค่าประกันในราคา 10,672 บาท/ปี โดยจะมีทุนประกันสูงสุดถึง 664,000 บาท และยังให้ความคุ้มครองบุคคลภายนอกได้รับบาดเจ็บ 1,000,000 ต่อคน/ครั้ง (สามารถเลือกเป็นแผนที่ดีกว่าได้แต่ก็ต้องเพิ่มค่าเบี้ย) และ ความเสียหายของทรัพย์สินสูงสุด 5,000,000 ต่อครั้ง ด้านความคุ้มครองคนในรถจะมีค่ารักษาพยาบาล และ ประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคล 100,000 บาท (สามารถเลือกเป็นแผนที่ดีกว่าได้แต่ก็ต้องเพิ่มค่าเบี้ย) รวมถึงความคุมครองอื่นๆ ตามที่เลือกไว้
หรือถ้าเป็นรถ Mazda 2 1.5 XDL (2023) ซึ่งเป็นเครื่องยนต์ดีเซล เป็นรถที่ใส่ฟังก์ชันมาให้แบบคุ้มค่า ตอบโจทย์การใช้งานได้ดี จะไปไหนก็สบายๆ ติดคตรงที่มีพื้นที่เก็บสัมภาระน้อยไปนิด แต่เดินทางใกล้ไกลได้ไม่มีงอแง แถมอัตราสิ้นเปลืองทำได้ถึง 26.3 ลิตรเลยทีเดียว โดยจะเสียค่าประกันในราคา 11,196 บาท/ปี โดยจะมีทุนประกันสูงสุดถึง 712,000 บาท และยังให้ความคุ้มครองบุคคลภายนอกได้รับบาดเจ็บ 1,000,000 ต่อคน/ครั้ง (สามารถเลือกเป็นแผนที่ดีกว่าได้แต่ก็ต้องเพิ่มค่าเบี้ย) และ ความเสียหายของทรัพย์สินสูงสุด 5,000,000 ต่อครั้ง ด้านความคุ้มครองคนในรถจะมีค่ารักษาพยาบาล และ ประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคล 100,000 บาท (สามารถเลือกเป็นแผนที่ดีกว่าได้แต่ก็ต้องเพิ่มค่าเบี้ย) รวมถึงความคุมครองอื่นๆ ตามที่เลือกไว้
นอกจากนี้ก็ยังมีประกันภัยรถยนต์ Eco Car จากบริษัทประกันภัย รายอื่นๆ ให้เลือกได้ตามความพึงพอใจ ดังนี้
วิริยะประกันภัย สามารถดูข้อมูลได้
ที่นี่ คุ้มภัยโตเกียวมารีนประกันภัย สามารถดูข้อมูลได้
ที่นี่
ไอโออิกรุงเทพประกันภัย สามารถดูข้อมูลได้
ที่นี่ ธนชาตประกันภัย สามารถดูข้อมูลได้
ที่นี่ ทิพยประกันภัย สามารถดูข้อมูลได้
ที่นี่ เมืองไทยประกันภัย สามารถดูข้อมูลได้
ที่นี่ ไดเร็คเอเชียประกันภัย สามารถดูข้อมูลได้
ที่นี่ ประกันภัยไทยวิวัฒน์ สามารถดูข้อมูลได้
ที่นี่ กรุงเทพประกันภัย สามารถดูข้อมูลได้
ที่นี่
สำหรับท่านที่เป็นเจ้าของรถ Eco Car ที่ต้องการจะซื้อประกันภัยให้รถยนต์ของท่าน ควรศึกษาหาข้อมูลเพื่อเปรียบเทียบทุกครั้งก่อนตัดสินใจ และอย่าลืมขับขี่ทุกครั้งด้วยความระมัดระวัง