ประเทศไทยเริ่มเข้าสู่ช่วงฤดูฝนอย่างเป็นทางการมาตั้งแต่วันที่ 22 พฤษภาคม 2566 ซึ่งจะทำให้เกิดฝนตกหนัก หรือน้ำท่วมขังสูงในบางพื้นที่ อาจก่อให้เกิดผลกระทบ และความเสียหายกับรถยนต์ของคุณได้โดยเฉพาะรถยนต์ที่มีขนาดเล็กอย่างอีโคคาร์ หรือรถที่มีความสูงจากพื้นถนนถึงขอบประตูรถด้านล่าง 17-20 เซนติเมตร รถเหล่านี้ควรที่จะขับขี่ด้วยความระมัดระวังเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายจากคลื่นที่ซัดเข้ามาด้านหน้าเครื่องยนต์ หรือ ความเสี่ยงที่อาจจะเกิดเมื่อท่อไอเสียจมน้ำ รวมถึงน้ำไหลซึมเข้าไปในตัวรถ ได้นั่นเอง ทีนี้ก็ต้องมาดูกันว่าประกันภัยรถยนต์ที่เราจะซื้อให้กับประกันภัยรถยนต์รถยนต์อีโคคาร์นั้นจะจ่าย หรือรับเคลมหรือไม่?
การเคลมประกันรถภายหลังจากการขับรถยนต์อีโคคาร์ ผ่านเหตุการณ์น้ำท่วม, น้ำขัง จนทำให้รถยนต์ได้รับความเสียหายนั้นก็ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขและข้อกำหนดที่ระบุในกรมธรรม์ประกันรถของคุณ โดยส่วนใหญ่จะให้ความคุ้มครองสำหรับรถที่ทำ ประกันภัยชั้น 1 และ ประกันภัยชั้น 2+ ซึ่งจะมีการระบุว่า บริษัทจะชดใช้ค่าสินไหมทดแทน เพื่อความเสียหายที่เกิดขึ้นระหว่างระยะเวลาประกันภัย อันมีสาเหตุมาจากภัยธรรมชาติต่างๆ ต่อรถยนต์ รวมทั้งอุปกรณ์เครื่องตกแต่ง หรือสิ่งที่ติดประจำอยู่กับตัวรถยนต์ ซึ่งในทีนี้ก็จะหมายรวมถึงกรณีน้ำท่วมนั่่นเอง ดังนั้นผู้ที่ทำประกันภัยดังกล่าว ก็สบายใจได้ว่าจะได้รับคุ้มครองแน่นอน แต่จำนวนเงินที่จะชดเชยหรือซ่อมแซมนั้นก็ขึ้นอยู่กับจำนวนทุนประกันที่เราได้ทำไว้ แต่อย่างไรก็ดี โปรดตรวจสอบเงื่อนไขการคุ้มครอง และความคุ้มครองที่คุณได้ซื้อประกันภัยของรถอีโคคาร์ของคุณ ซึ่งความคุ้มครองสามารถแตกต่างกันไประหว่างบริษัทประกันต่าง ๆ นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอื่น ๆ เช่นความเสียหายที่เกิดขึ้น, เปอร์เซ็นต์ความเสียหายที่คุ้มครอง อีกด้วย
และเมื่อเกิดความเสียหายกับรถยนต์อีโคคาร์ของคุณเนื่องมาจากการน้ำท่วม สิ่งที่คุณควรจะต้องทำคือการแจ้งสถานที่กับบริษัทประกันภัยที่รถคุณมีสัญญาอยู่ทันทีเพื่อแจ้งเหตุให้บริษัทประกันนั้นๆ รับทราบเกี่ยวกับความเสียหายที่เกิดขึ้น โดยบริษัทประกันจะให้คำแนะนำต่างๆ ในขั้นตอนการเคลม และเอกสารที่จำเป็นที่คุณจะต้องใช้ เช่น แบบฟอร์มเคลม, หลักฐานของความเสียหาย เป็นต้น อย่างไรก็ตามอาจมีข้อจำกัดหรือเงื่อนไขที่บังคับใช้ เช่น ความรับผิดตามข้อกำหนดของกรมธรรม์, ส่วนความรับผิดอื่น ๆ อาจขึ้นอยู่กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หากมีข้อสงสัยควรติดต่อตัวแทนจำหน่ายหรือติดต่อแผนกบริการลูกค้าของบริษัทประกันเพื่อขอคำปรึกษาและความช่วยเหลือเพิ่มเติม
ในเรื่องของการประเมินความเสียหายนั้น จะพิจารณาเป็น 2 กรณี คือ
- กรณีเสียหายโดยสิ้นเชิง คือ กรณีที่รถไม่สามารถซ่อมแซมให้กลับมาสภาพเดิมได้ หรือราคาประเมินมูลค่าความเสียหายเกินกว่าร้อยละ 70 ของทุนประกัน บริษัทก็จะเสนอคืนทุนประกันและรับโอนซากรถเป็นกรรมสิทธิ์ของประกันภัย
- กรณีเสียหายแค่บางส่วน คือ มีการประเมินแล้วว่ารถคันนั้นสามารถซ่อมแซมได้ บริษัทและผู้เอาประกันก็จะมีการตกลงกันให้มีการซ่อมให้กลับคืนสภาพเดิม หรือตกลงชดใช้เป็นตัวเงินเท่ากับราคาซ่อมที่ประเมิน
นอกจากนี้ยังมีขั้นตอนเตรียมรถให้พร้อมขับช่วงฝนตกว่าในเบื้องต้นมีอะไรที่จะต้องเช็คและดูแลกันบ้าง ไปไล่ดูกันเลยครับ
- ตรวจสอบยางของรถอีโคคาร์ของคุณ : เข้าสู่ช่วงฤดูฝนสิ่งที่ที่ควรจะทำก็คือหมั่นตรวจสภาพยางว่าอยู่ในสภาพที่ดีหรือไม่ เริ่มต้นง่ายๆ ด้วยการตรวจแรงดันลมยางเป็นประจํา, ตรวจสอบความลึกของดอกยางว่าเพียงพอสําหรับการยึดเกาะถนนหรือไม่
- ตรวจสอบและเปลี่ยนใบปัดน้ำฝน : สภาพการมองเห็นเป็นสิ่งสําคัญเมื่อต้องขับรถท่ามกลางสายฝน ฉะนั้นใบปัดน้ำฝนจึงมีความสำคัญไม่แพ้กันหากเสียหายหรือชํารุดอาจส่งผลให้คุณไม่สามารถเห็นถนนได้อย่างชีดเจน และอาจก่อให้เกิดอันตรายได้ จึงควรตรวจสอบและเปลี่ยนใบปัดน้ำฝนของคุณอย่างน้อยปีละครั้ง อย่างเช่น เปลี่ยนทุกปีที่มีการประกาศเข้าสู่ฤดูฝน
- ตรวจสอบระบบไฟ : ไฟที่มีความสว่างที่เหมาะสมเป็นสิ่งสําคัญสําหรับทั้งการมองเห็นของคุณ และสำหรับผู้ขับขี่คนอื่น ๆ ให้สามารถมองเห็นคุณในขณะที่ฝนตกได้ จึงควรตรวจสอบไฟภายนอกทั้งหมดอย่างสม่ำเสมอ
- ตรวจสอบเบรกและช่วงล่าง : ในสภาพถนนเปียกการควบคุมรถถือเป็นสิ่งจำเป็น จึงต้องมีการตรวจสอบส่วนต่างๆ ให้แน่ใจว่ายังทํางานได้ดีหรือไม่ อาทิ ระบบเบรก เนื่องจากหากมีปัญหาจะเพิ่มระยะหยุดบนพื้นผิวเปียกและอาจเป็นสาเหตุของอุบัติเหตุได้ นอกจากนี้ ควรตรวจสอบช่วงล่างเพื่อรักษาเสถียรภาพและการทำงานที่เหมาะสมในช่วงสภาพอากาศเปียกชื้น
เพียงเท่านี้ก็จะ ช่วยลดความกังวลใจของผู้ขับขี่ทุกท่าน แต่ก็ฝากถึงบางท่านที่สตาร์ทรถตอนน้ำท่วมไปแล้ว การทำเช่นนี้อาจจะทำให้เครื่องยนต์ได้รับความเสียหาย และเสี่ยงต่อการไม่ได้รับความคุ้มครอง เพราะบางบริษัทประกันถือว่าท่านมีเจตนาตั้งใจสตาร์ทรถในขณะน้ำท่วม และอาจทำให้ความเสียหายที่เป็นอยู่ลุกลามได้นั่นเอง