หลังเผยโฉมเรนเจอร์ใหม่
ฟอร์ด ประเทศไทย พาสื่อมวลชนสายยานยนต์รวมทั้ง
ทีมงานคาร์กูรูไทยแลนด์ โดย เช็คราคา.คอม ร่วมกิจกรรมทดสอบขับรถ
ฟอร์ด เรนเจอร์ เจเนอเรชันใหม่เป็นครั้งแรก บนเส้นทางภูเก็ต - พังงา - กระบี่ เพื่อค้นหาสมรรถนะการขับทั้งบนถนนและแบบออฟโรด การใช้ระบบเทคโนโลยีและอุปกรณ์ทันสมัย ตลอดจนการเชื่อมต่อกับรถผ่านแอปพลิเคชัน ฟอร์ดพาส พร้อมพิสูจน์การใช้เป็นรถ เดินทางท่องเที่ยวพักผ่อน
ภายใต้แนวคิด ‘Unlimit Your Experience’ กับกิจกรรมครั้งนี้นับเป็นประสบการณ์ใหม่ไปกับรถฟอร์ด เรนเจอร์ รุ่นไวลด์แทรค และรุ่นสปอร์ตที่ได้ขับทั้งบนถนนและเส้นทางออฟโร้ด
ในกลุ่มทดสอบมีรถ
ฟอร์ด เรนเจอร์ใหม่ กว่า 14 คัน ส่วนใหญ่เป็นรุ่น Wildtrack หลายรุ่นย่อยต่างระบบขับเคลื่อน 4 และ2ล้อ มีรุ่น Sport 2 คัน โดยผู้เขียนได้ขับรุ่นนี้ที่เป็นระบบขับเคลื่อน 2 ล้อ การทดสอบเริ่มต้นปล่อยตัวจากโณงแรมที่พักในจังหวัดภูเก็ตมุ่งสู่พังงา เพื่อไปขับแบบออฟโร้ดที่
ฟอร์ด เรนเจอร์ วิลล์ (Ford Ranger Ville) อันเป็นสถานที่ทดสอบสเตชั่นที่จัดเตรียมไว้เพื่องานนี้โดยเฉพาะ ในช่วงของการขับบนถนนดำผู้เขียนที่ได้ทั้งขับและนั่งในตำแหน่งโดยสารของ ฟอร์ด เรนเจอร์ สปอร์ต พบว่า บนทางหลวงที่มีทั้งทางตรงสลับโค้ง โดยสัมผัสได้ถึงสมรรถนะของเครื่องยนต์ที่ตอบสนองได้ทันใจไม่ว่าจังหวะออกตัว หรือเติมความเร็วขณะขับเดินทาง ส่วนการควบคุมตัวรถเวลาเข้าออกโค้งความเร็วก็ทำได้ดีอย่างน่าพอใจ ท่ามกลางสภาพถนนที่เปียกชื้นจากฝน ช่วงล่างแน่นรักษาอาการโรลของตัวรถได้ดีทีเดียว ระบบเบรกก็เช่นกันช่วงชะลอเบาให้ความหน่วงกลับที่นุ่มนวลทรงพลังสำหรับภายในห้องโดยสารให้ความรู้สึกสบายและดูทันสมัยเหมือนรถซีดานยุคใหม่ ระบบช่วยเหลือและฟังก์ชันต่างๆ มากมาย เสียดายที่มีเวลาจำกัดในการใข้งานเพราะต้องสมาธิอยู่กับการเดินทางไปบนถนนที่ไม่คุ้นเคยเพื่อไปลองขับสถานีออฟโร้ดที่
ฟอร์ด เรนเจอร์ วิลล์ พอสรุปเบื้องต้นกับการขับฟอร์ด เรนเจอร์ สปอร์ต ขับเคลื่อน 2 ล้อ บนถนนทั่วไปได้ว่า ตัวรถและสมรรถนะเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร ที่ใช้เกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด กำลังสูงสุด 170 แรงม้า ที่ 3,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 405 นิวตันเมตร ที่ 1,750-2,000 รอบต่อนาที ตอบโจทย์การใช้งานแบบออลราวด์ได้ดีพอเลย ส่วนตัวคิดว่าเพียงพอและคุ้มค่าตัวกับการใช้งาน แม้ในรุ่นไวลด์แทร็คขับสองมีเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร เทอร์โบคู่ 210 แรงม้า เป็นอีกทางเลือกของคนชอบความเป็นที่สุดก็ตาม มาถึง ฟอร์ด เรนเจอร์ วิลล์ (Ford Ranger Ville) สนามออฟโรดออกแบบพิเศษเพื่อทดสอบสมรรถนะและการเลือกใช้โหมดการขับในฟอร์ด เรนเจอร์ ตอนนี้ก็เปลี่ยนมาขับรุ่น ไวลด์แทร็ค ขับเคลื่อนสี่ล้อ เครื่องยนต์ 2.0 ลิตร เทอร์โบคู่ 210 แรงม้า โดยเริ่มจาก สถานีที่ 1 ขับขึ้นลงเนินชัน ‘Hill Maneuvering’ ใช้โหมดขับปกติ (Normal mode) คู่กับระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ (4H) ขับไต่ลงเนินชัน ปล่อยเบรก เดินคันเร่งเบาๆ ปล่อยให้ระบบควบคุมความเร็วขณะลงเขา (Hill Descent Control) ทำหน้าที่เอง โดยระบบฯ จะช่วยปรับความดันเบรกอย่างต่อเนื่อง ลดการลื่นไหลและรักษาความเร็วให้คงขณะลงทางลาดชัน ผู้เขียนอาจกังวลบ้างในเรื่องการควบคุมพวงมาลัย แต่มีผู้ฝึกสอนที่นั่งไปด้วยช่วยแนะนำเรื่องไลน์การวางล้อทำให้ขับไต่ขึ้น-ลงได้อย่างมั่นใจมากขึ้น
สถานีที่ 2 ขับลุยน้ำลึกได้สูงสุดถึง 800 มิลลิเมตร ผู้เขียนขับผ่านสบายๆ ฟอร์ด เรนเจอร์ ไวล์ดแทร็คขับลุยน้ำเป็นเรื่องธรรมดามาก แต่ชอบที่มีกล้องมองรอบคัน 360 องศา เพื่อช่วยให้เห็นอุปสรรครอบรถก่อนขับเคลื่อน ซึ่งจำเป็นเวลาไปลุยเส้นทางออฟโร้ดจริงๆ
สถานีที่ 3 และ 4 การขับบนทางลื่น 'Slippery Track' และ ทางโคลน 'Mud Track' ระบบจะช่วยกระจายแรงบิดไปที่ 4 ล้อ ช่วยตอนขับบนถนนลื่นหรือพื้นถนนไม่สม่ำเสมอ และใช้กล้องมองรอบคัน 360 องศา ช่วยเสริมการมองด้านนอกรถ เพื่อควบคุมทิศทางรถให้ผ่านอุปสรรคได้สะดวก โดยเฉพาะการขับทดสอบครั้งนี้ที่ผิวเส้นทางดินลื่นเหมือนหนังหมูตัวรถควบคุมทิศทางได้ค่อนข้างยากแม้เป็นการขับแบบวอลค์กิ้งสปีด แต่ก็สังเกตุได้ถึงการทำงานของระบบล็อกเฟืองท้ายที่ช่วยตัดแต่งกำลังไปยังล้อทั้ง 4 ให้บาลานซ์ด้านการถ่ายกำลังและควบคุมทิศทาง
สถานีที่ 5 พื้นกรวด ‘Loose Surface’ ปรับโหมดอยู่ที่การขับบนถนนลื่น (Slippery mode) เพื่อขับลุยทำความเร็วไปบนทางกรวด จับอาการตอบสนองของระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว และความนุ่มนวลในการเปลี่ยนเกียร์ ซึ่งการเปลี่ยนเกียร์ที่สมูธไหลลื่นนับเป็นจุดเด่นของเรนเจอร์ใหม่เลย
สถานีที่ 6 ขับลุยทางหิน ‘Rocky Terrain’ ตรงนี้ขับด้วยโหมดปกติ (Normal mode) พร้อมระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ (4L) และระบบล็อกเฟืองท้าย (Locking rear differential) เพื่อเน้นแรงบิดในรอบต่ำและอัตราทดเกียร์ โดยค่อยๆ เปิดคันเร่งจับอาการจากล้อรถที่ไต่ผ่านหินใหญ่แต่ละก้อน แรงบิดที่ดีทำให้รถเดินหน้าไปอย่างต่อเนื่อง และหายห่วงเรื่องความสูงใต้ท้องรถที่มีระยะเคลียร์แลนซ์ที่มากพอ อีกทั้งระบบช่วงล่างที่ซึบซับแรงกระแทกได้ดี
สถานีที่ 7 โหมดทราย 'Sand mode' เน้นการกระจายแรงบิดของเครื่องยนต์ที่ทำให้รถขับผ่านทรายได้สบายแม้ใช้ลมยางแข็งตามเสปคปกติ น่าเสียดายที่ระดับทรายไม่ลึกอย่างที่คาดหวังเท่าไหร่ อยากเห็นโหมดนี้ทำงานในทรายแห้งที่ลึกกว่านี้ ตลอดจนทำความเร็วมากกว่านี้
สถานีที่ 8 ลุยทางออฟโรด 'Off-Road Maneuvering' ใช้โหมดปกติ (Normal mode) พร้อมระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ (4H) ทดสอบการควบคุมพวงมาลัย การทรงตัวของรถ และความทรงพลังของเครื่องยนต์ แรงบิดและอัตราทดเกียร์จากการขับบนเส้นทางออฟโรด เน้นประโยชน์จากมุมเงยที่มากขึ้นด้วย
โดยรวมแล้วได้ลองขับจนครบโหมด ซึ่งในความเป็นจริงอาจหาโอกาสแบบนี้ได้ยาก และคงใช้ไม่ได้ครบโหมดบ่อยนัก แต่ทางฟอร์ดได้จัดให้ลองกันแบบครบถ้วน เพื่อให้แน่ใจในประสิทธิภาพการทำงานของระบบเลือกการขับ 'Terrain Management' ตลอดจนสมรรถนะตัวรถ เครื่องยนต์ ช่วงล่างที่สามารถตอบรับกับเส้นทางออฟโร้ดที่แตกต่างรูปแบบ ลองแล้วก็ยอมรับว่าฟอร์ด เรนเจอร์ ใหม่ นอกจากมีดีไซน์สวยทั้งภายนอกและในห้องโดยสารแล้ว ในรุ่น ไวลด์แทร็คขับเคลื่อน 4 ล้อ ยังให้ความโดดเด่นของการขับแบบออฟโร้ดที่ง่าย สะดวก และมั่นใจ ใครที่ชอบขับบุกป่า ฝ่าดง มองหากระบะออฟโร้ดยุคใหม่ที่สวย ทันสมัย และชอบพลังความแรงระดับ 210 แรงม้า เกียร์ 10 สปีด ลุยเป็นเพื่อนคู่ใจได้ทุกทาง ก็ต้องรุ่นนี้เลย
ด้านความอเนกประสงค์ของรถยนต์ฟอร์ด เรนเจอร์ เจเนอเรชันใหม่ มีการจำลองการใช้งานที่กระบะท้าย เป็นการรองรับจัดเรียงสิ่งของให้เป็นระเบียบหลากหลายรูปแบบ (Cargo management system) เด่นด้วยบันไดเหยียบข้างกระบะท้ายทำให้ปีนท้ายกระบะง่าย การใช้งานเครื่องใช้ไฟฟ้าโดยเชื่อมระบบไฟจากช่องจ่ายไฟในกระบะท้ายเพื่อทำงานช่างหรือจ่ายไฟให้กับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิสต์ต่างๆ การออกแบบพื้นที่เก็บของใต้ที่นั่งใหม่ เพิ่มพื้นที่เก็บของใต้เบาะหลังเพื่อความเป็นสัดส่วนและสามารถเก็บสัมภาระได้เยอะ ยังมีห่วงยึดสัมภาระบนขอบกระบะท้ายที่ออกแบบมาเพื่อให้บรรทุกอุปกรณ์ขนาดใหญ่สะดวกเวลาเดินทางท่องเที่ยว