5 ข้อแนะนำ การใช้งานระบบแอร์รถยนต์อย่างถูกต้อง
ระบบแอร์รถยนต์นับเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับในประเทศเขตร้อน (มาก) อย่างประเทศไทย หากวันใดระบบทำความเย็น หรือแอร์เกิดทำงานไม่เต็มประสิทธิภาพ ไม่เย็น เสีย หรือไม่ทำงาน รับรองได้ว่าเดือดร้อนแน่ ๆ เพื่อป้องกันไม่ให้ระบบแอร์เสื่อมสภาพก่อนวัยอันควร ซึ่งบทความนี้จะแนะนำวิธีการใช้งานระบบแอร์ทั้งรถยนต์รุ่นเก่าและรถยนต์ใหม่ป้ายแดง ที่มีวิธีการใช้งานที่คล้าย ๆ กัน มาดู 5 ข้อแนะนำการใช้งานระบบแอร์รถยนต์อย่างถูกต้องกันว่ามีอะไรบ้าง
1. ปิดระบบแอร์ทุกครั้งก่อนสตาร์ทเครื่องยนต์
การปิดระบบแอร์ก่อนสตาร์ทเครื่องยนต์นับว่าเป็นสิ่งจำเป็น เพราะการเปิดระบบทิ้งเอาไว้และทำการสตาร์ทเครื่องยนต์นั้น ส่งผลกระทบกับระบบมอเตอร์สตาร์ทที่ต้องใช้แรงในการหมุนเครื่องยนต์และคอมแอร์ไปพร้อม ๆ และต้องใช้กำลังเพิ่มขึ้นด้วย แต่ในปัจจุบันเป็นข้อดีของรถยนต์รุ่นใหม่หลายรุ่นที่มีระบบช่วยตัดการทำงานของคอมเพรสเซอร์แอร์อัตโนมัติเมื่อสตาร์ทเครื่องยนต์ (เน้นว่าบ้างรุ่นนะครับ) เมื่อเปิดสวิตช์แอร์ทิ้งไว้ระบบจะตัดการทำงานของคอมเพรสเซอร์ออก ทำให้เครื่องยนต์หมุนตัวเปล่าเป็นการช่วยผ่อนแรงไปในตัว ซึ่งบางครั้งเจ้าของรถก็อาจไม่ทราบข้อมูลชัดเจนว่ารถที่ใช้อยู่มีระบบนี้หรือไม่ จึงให้ปิดสวิตช์ระบบแอร์เอาไว้ก่อนครับ ป้องกันไว้ดีกว่า
2. ไล่ความชื้นระบบแอร์ก่อนถึงบ้าน
การไล่ความชื้นของระบบแอร์นั้น หมายถึง เมื่อใกล้จะถึงบ้านหรือว่าจอดรถนาน ๆ ค้างคืนก็ให้ปิดระบบคอมเพรสเซอร์หรือว่าปุ่ม "AC" รถบางรุ่นอาจใช้สวิตช์ปรับความเย็นให้ปรับมาที่ "0" หรือว่าระดับทำความเย็นน้อยที่สุด พร้อมกับเปิดความแรงของพัดลมแอร์ให้แรงขึ้น เพื่อให้ลมพัดความชื้นออกจากแผงคอยเย็นหรืออีวาโปเรเตอร์ในรถ ให้แห้งสนิท จะช่วยไล่ความชื้นออกไปให้มากที่สุด ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของการกัดกร่อน หรือฝุ่นที่เข้าไปจับตัวทำให้ระบบอุดตัน ออกไปจากระบบและยืดอายุการใช้งานได้นานขึ้น โดยปิดระบบทำความเย็นราว ๆ 5 - 10 นาทีหรืออาจจะ 1 กิโลเมตรก่อนถึงจุดหมายก็ได้
3. เปิดระบบให้เต็มที่เมื่อตากแดด
เมื่อรถยนต์จอดตากแดดให้เปิดระบบทำความเย็นเต็มที่หรือ 80% ขึ้นไป พร้อมกับการลดกระจกลงเล็กน้อย 2 หรือ 4 บานก็ได้ตามสะดวก เพื่อให้ไล่อากาศที่ร้อนอบอ้าวในรถออกให้เร็วที่สุด หลังจากเริ่มรู้สึกว่าอุณหภูมิในรถเย็นสบายแล้วก็ค่อย ๆ ปรับลดระดับความเย็นลงหรือปรับอุณหภูมิเพิ่มขึ้น
หรือหากรถยนต์รุ่นที่เป็นระบบอัตโนมัติให้กดปุ่ม "AUTO" และปรับตัวเลขอุณหภูมิให้ต่ำ ๆ เพื่อให้ระบบทำงานเต็มที่ ซึ่งวิธีนี้จะช่วยให้เย็นเร็วขึ้น และระบบทำความเย็นก็ตัดการทำงานตามอุณหภูมิที่ตั้งไว้และก็จะทำงานในเวลาสั้นลง ซึ่งหากเปิดระบบแอร์ปกติจะทำให้เย็นช้าและระบบทำความเย็นจะต้องเวลานานมากขึ้นกว่าความเย็นในห้องโดยสารจะถึงจุดที่ตั้งเอาไว้ และวิธีนี้ยังช่วยลดกลิ่นอับได้อีกทางหนึ่งด้วยครับ ทั้งนี้การลดกลิ่นอับขึ้นกับอุปกรณ์ชิ้นส่วนอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่อยู่ภายในรถว่าส่งกลิ่นมากน้อยเพียงใด อย่างเช่นกลิ่นอาหาร หรือสิ่งของอื่น ๆ ที่มีกลิ่นแรง หากไม่หายอาจต้องเปลี่ยนชุดกรองแอร์หรือเปิดประตูและจอดตากแดดทิ้งเอาไว้ ช่วยลดเกลิ่นอับลงได้อีกทางหนึ่งครับ
4. เลี่ยงน้ำหอม
หลายคนคงต้องการความหอมสดชื่นในห้องโดยสารจึงสรรหาเครื่องหอมต่าง ๆ มาใส่ภายในรถ ทั้งน้ำหอมรถยนต์ การบูร หรือสเปรย์ฉีด เป็นต้น เจ้าสิ่งเหล่านี้ส่วนใหญ่ใช้สารระเหยที่มีผลกระทบต่อภายในระบบแอร์โดยตรง เมื่อระบบแอร์ดูดอากาศเข้าไปก็อาจละลายติดเป็นยางเหนียว ๆ หรือเป็นคราบน้ำทำให้มีฝุ่นต่าง ๆ เข้าไปจับตัวกันมากขึ้นเร็วขึ้น นอกจากนี้ยังรวมถึงการวางรองเท้าหรือสิ่งของที่มีพวกขี้ฝุ่นไว้บริเวณที่วางเท้าเบาะนั่งฝั่งคนขับ ซึ่งใกล้กับช่องทางอากาศวนของระบบแอร์และอาจถูกดูดเข้าไปติดในระบบได้
5. ปรับความเย็นให้เหมาะสม
ปรับระดับความเย็นให้เหมาะสมกับการใช้งานหรือความต้องการ เพื่อให้ระบบแอร์ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น อากาศร้อนก็ปรับทั้งความแรงลมให้แรงขึ้นและปรับอุณหภูมิให้ต่ำลง หรือเมื่ออากาศเย็นให้ปรับความแรงลมปานกลาง-ต่ำ และปรับอุณหภูมิให้สูงขึ้น เป็นต้น
5 ข้อแนะนำการใช้งานระบบแอร์เบื้องต้น เพื่อให้ใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างเต็มที่มีประสิทธิภาพและยืดอายุการทำงานให้ยาวนานขึ้น นอกจากนี้ควรหมั่นตรวจเช็คระบบทำความเย็นอย่างสม่ำเสมอ เปลี่ยนใส้กรองแอร์ตามผู้ผลิตกำหนด และสังเหตุความผิดปกติของระบบแอร์เพื่อรีบแก้ไขได้ทันท่วงทีครับ
ซึ่งเน้นว่าถ้าสะดวกสามารถปฏิบัติตามนี้ได้ก็จะช่วยยืดอายุของระบบทำความเย็นให้ยาวนานขึ้น แต่หากไม่สะดวกในการทำทั้ง 5 ข้อนี้ก็ไม่ใช่ว่าระบบแอร์จะพังทันทีนะครับ เพราะปัจจุบันหากระบบแอร์มีปัญหาก็สามารถเข้าตรวจเช็คได้ที่ศูนย์บริการรถยนต์หรือที่อื่น ๆ อีกหลายแห่งครับ
บทความที่เกี่ยวข้อง