

ต้องอ่าน!..รถยนต์ปิคอัพควันดำ ตรวจกันอย่างไร?
รถยนต์ที่วิ่งบนท้องถนนทั้งทุกคันต้องผ่านการคัดกรองเรื่องการปล่อยมลพิษก่อนออกจากโรงงานผลิต โดยการควบคุมของกรมควบคุมมลพิษและกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อเป็นการช่วยให้อากาศสะอาดและสดชื่น สิ่งแวดล้อมที่ดีต่อธรรมชาติและผู้คนที่ใช้อากาศหายใจ


แต่... ก็มีรถปิคอัพหลายคันที่ถูกนำมาปรับแต่งเครื่องยนต์ทั้งการ "ดันราง" ในน้ำมันดีเซลหนาขึ้น "โมดิฟายด์" เครื่องยนต์ให้มีกำลังมากขึ้น "อุด EGR" หรือตัววนกลับไอเสียเพื่อลดมลพิษ หรือแม้กระทั่งทำ "ท่อตรงลงหน้าเพลาแบบยิ่งสด" ไม่ผ่านระบบกรองไอเสียก็มี เพื่อให้ขับขี่สนุกมากขึ้น สนองความคึกคะนองส่วนตัว แต่สิ่งที่ตามมาด้วยอย่างหลีกเลี่ยงได้ยากก็คือ "ควันดำ" ควันถ่วมเมื่อเหยียบคันเร่งมากๆ และกลายเป็นปัญหาทางด้านมลพิษส่งผลต่อสภาพอากาศที่เราหายใจเข้าไปทันที!


ภาพจาก www.xo-autosport.com
การปรับแต่งรถอาจมีหลายจุดประสงค์ เช่น เพื่อใช้ในกีฬาการแข่งขันเท่านั้น หรือเพื่อต้องการกำลังเพิ่มขึ้นในการใช้งานขึ้น-ลงทางลาดชัน ส่วนการปรับแต่งเพื่อนำมาวิ่งซิ่ง "เล่น" บนท้องถนนทั่วไปนับเป็นการเพิ่มมลพิษโดยไม่เห็นความเดือดร้อนของผู้อื่น..

ภาพจาก www.posttoday.com
ปัจจุบันค่าปริมาณฝุ่นในอากาศเพิ่มสูงจนน่าตกใจ "ควันดำ" ก็นับปัจจัยต้นๆ ที่ทำให้เกิด "มลพิษ" และหน่อยงานต่างๆ ก็มีมาตรการ "เข้ม" (หรือเปล่า?) ในตรวจค่าไอเสียจากรถยนต์ทั้งรถยนต์เบนซินและดีเซล มาดูว่ามีอะไรกันบ้าง
การตรวจสอบตรวจจับและห้ามใช้รถยนต์ควันดำ

ภาพจาก www.busthai.net
จากผลการติดตามตรวจสอบคุณภาพอากาศในบรรยากาศของกรุงเทพมหานคร โดยกรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ปรากฎว่า บริเวณริมถนนในกรุงเทพมหานครมีปริมาณมลพิษสูงกว่าพื้นที่อื่นทั่วไป สารมลพิษที่เป็นปัญหาหลักยังคงเป็นฝุ่นละอองขนาดใหญ่และฝุ่นละอองขนาดเล็ก ฝุ่นละอองที่มีขนาดใหญ่มักจะก่อให้เกิดปัญหาเหตุเดือดร้อนรำคาญ ส่วนฝุ่นละอองขนาดเล็กสามารถเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจของมนุษย์ ซึ่งจะเกาะตัวหรือตกตัวได้ในส่วนต่างๆ ของระบบทางเดินหายใจ ก่อให้เกิดการระคายเคืองและทำลายเนื้อเยื่อของอวัยวะนั้นๆ เช่น เนื้อเยื่อปอด หากได้รับปริมาณมากหรือในช่วงระยะเวลายาวนาน จะสะสมในเนื้อเยื่อปอดเกิดเป็นพังผืดหรือแผลขึ้นได้ รวมทั้งทำให้การทำงานของปอดเสื่อมประสิทธิภาพลงทำให้หลอดลมอักเสบ เกิดหอบหืด ถุงลมโป่งพอง และมีโอกาสเกิดโรคระบบทางเดินหายใจเนื่องจากติดเชื้อเพิ่มขึ้นได้

ผลการศึกษาถึงแหล่งที่มาของฝุ่นละอองในกรุงเทพมหานคร พบว่าร้อยละ 40 มีที่มาจากรถยนต์ที่ใช้อยู่บนท้องถนน โดยเฉพาะอย่างยิ่งควันดำจากรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซลซึ่งเกิดจากการเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์ของเครื่องยนต์ ดังนั้นมาตรการการห้ามใช้รถยนต์ที่มีควันดำเกินค่ามาตรฐาน ก็จะเป็นแนวทางหนึ่งที่จะสามารถลดปริมาณฝุ่นละอองในกรุงเทพมหานครได้
ควันดำคืออะไร ฝุ่นละอองที่ลอยอยู่ในอากาศส่วนหนึ่งมีสาเหตุมาจากควันดำ ซึ่งเป็นผงเขม่าสีดำขนาดเล็กที่เหลือจากการเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์ของเครื่องยนต์ดีเซล โดยควันดำที่เกิดจากรถยนต์นั้น มาจาก ระบบจ่ายน้ำมันไม่เหมาะสม, ไส้กรองอากาศสกปรกเกิดการอุดตัน, เครื่องยนต์เก่า ชำรุด ขาดการบำรุงรักษา, บรรทุกน้ำหนักเกินอัตราที่กำหนด และใช้น้ำมันเชื้อเพลิงที่ไม่ได้มาตรฐาน เป็นต้น รวมถึงรถที่ปรับแต่งเครื่องยนต์อีกด้วย
การตรวจสอบตรวจจับและห้ามใช้รถยนต์ควันดำ
1. กรมควบคุมมลพิษ ร่วมกับกองบังคับการตำรวจจราจร และกรุงเทพมหานคร ดำเนินการตรวจสอบตรวจจับและห้ามใช้รถยนต์ ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 ซึ่งดำเนินการได้กับรถยนต์ตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ ได้แก่ รถกระบะ รถตู้ เป็นต้น โดยการออกคำสั่งห้ามใช้ยานพาหนะ (ห้ามใช้ชั่วคราว , ห้ามใช้เด็ดขาด) แก่รถยนต์ที่มีค่าควันดำเกินมาตรฐานกำหนด (ร้อยละ 50) ซึ่งในปี 2546 ได้เริ่มมาตรการนำร่องบนถนนสมเด็จพระเจ้าตากสิน ระหว่างวันที่ 18 กันยายน - 17 ธันวาคม 2546 และในปี2547 (ตั้งแต่วันที่ 2 ก.พ. 47 เป็นต้นมา) ได้ขยายพื้นที่การตรวจสอบตรวจจับและห้ามใช้รถยนต์ควันดำให้ครอบคลุมกรุงเทพมหานครวันละประมาณ 30 จุดตามจุดตรวจสอบตรวจจับของกองบังคับการตำรวจจราจร และในปัจจุบันมีสถานที่ยกเลิกคำสั่งห้ามใช้ยานพาหนะจำนวน 7 แห่งทั่วกรุงเทพฯ ได้แก่ กรมควบคุมมลพิษ สถานีตำรวจนครบาลคู่ขนานลอยฟ้า และกองโรงงานช่างกลของกรุงเทพมหานครทั้ง 5 แห่ง
2. กรมควบคุมมลพิษ ร่วมกับกรมการขนส่งทางบก ดำเนินการตรวจสอบตรวจจับและห้ามใช้รถ ตามพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ. 2522 ได้แก่ รถยนต์ขนาดใหญ่ โดยเฉพาะรถโดยสารประจำทาง สัปดาห์ละ 3 วันคือ วันจันทร์, วันพุธ และวันศุกร์ โดยทำการพ่นเครื่องหมายคำสั่ง "ห้ามใช้" แก่รถที่มีค่าควันดำเกินมาตรฐาน และในปี 2547 กรมควบคุมมลพิษได้ประสานไปยังองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ให้เข้าร่วมดำเนินการด้วย โดยกรมการขนส่งทางบกจะออกคำสั่งห้ามใช้แก่รถโดยสารประจำทางที่มีค่าควันดำเกินมาตรฐาน และหากว่ารถโดยสารประจำทางดังกล่าวเป็นรถร่วมบริการ ขสมก.จะดำเนินการโดยใช้กฎระเบียบและเงื่อนไขท้ายสัญญาประกอบการ ตั้งแต่การแจ้งเตือนเป็นลายลักษณ์อักษร จนถึงการบอกเลิกสัญญาประกอบการเดินรถ
วิธีการตรวจวัดควันดำ
1. การเตรียมรถยนต์ก่อนการตรวจวัด
1.1 จอดรถอยู่กับที่ในตำแหน่งเกียร์ว่าง
1.2 ปิดระบบเครื่องปรับอากาศ และระบบเบรกไอเสีย (ถ้ามี)
1.3 เดินเครื่องยนต์ให้อยู่ในอุณหภูมิใช้งานปกติ
1.4 ตรวจสอบความผิดปกติของเครื่องยนต์ ถ้าพบอาการที่ทำให้เครื่องยนต์เสียหาย หรือไม่ปลอดภัย ให้ซ่อมแซมให้อยู่ในสถาพสมบูรณ์เสียก่อน
1.2 ปิดระบบเครื่องปรับอากาศ และระบบเบรกไอเสีย (ถ้ามี)
1.3 เดินเครื่องยนต์ให้อยู่ในอุณหภูมิใช้งานปกติ
1.4 ตรวจสอบความผิดปกติของเครื่องยนต์ ถ้าพบอาการที่ทำให้เครื่องยนต์เสียหาย หรือไม่ปลอดภัย ให้ซ่อมแซมให้อยู่ในสถาพสมบูรณ์เสียก่อน
2. เครื่องมือตรวจวัดที่ถูกต้องจะต้องทำเครื่องสะอาดและปรับแต่งเครื่องมือตามคำแนะนำของผู้ผลิต
3.วิธีการตรวจวัดควันดำ ให้เร่งเครื่องยนต์อย่างรวดเร็วจนสุดคันเร่ง พร้อมตรวจวัดควันดำขณะเริ่มเร่ง ให้ทำการวัดสองครั้ง ซึ่งค่าควันดำจะต้องแตกต่างกัน น้อยกว่าร้อยละ 5 โดยให้ใช้ค่าสูงสุดที่วัดได้เป็นเกณฑ์ตัดสิน
4. มาตรฐานค่าควันดำจากท่อไอเสียของรถยนต์ ขณะเครื่องยนต์ไม่มีภาระ (จอดอยู่กับที่) กำหนดไว้ไม่เกินร้อยละ 50 (เมื่อตรวจวัดด้วยเครื่องมือวัดควันดำระบบกระดาษกรอง) หรือไม่เกินร้อยละ 45 (เมื่อตรวจวัดด้วยเครื่องมือวัดควันดำระบบวัดความทึบแสง)
คำสั่งห้ามใช้ยานพาหนะคืออะไร?
รถยนต์ที่ปล่อยควันดำ เกินร้อยละ 50 เมื่อตรวจวัดด้วยเครื่องมือวัดควันดำระบบกระดาษกรอง หรือเกินร้อยละ 45 เมื่อตรวจวัดด้วยเครื่องมือวัดควันดำระบบวัดความทึบแสง จะถูกติดสติ๊กเกอร์ "ห้ามใช้รถชั่วคราว" หรือ "ห้ามใช้เด็ดขาด" พร้อมทั้งบันทึกหมายเลขทะเบียนลงในคอมพิวเตอร์เพื่อแจ้งไปยังนายทะเบียนของกรมขนส่งทางบกพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง

ห้ามใช้ชั่วคราว คือ คำสั่งห้ามใช้รถยนต์ที่มีควันดำเกินกว่ามาตรฐานเป็นการชั่วคราว จนกว่าจะนำรถไปแก้ไขปรับปรุงเครื่องยนต์ให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์และมีควันดำเป็นไปตามมาตรฐาน ภายในกำหนด 30 วัน
เมื่อถูกคำสั่ง "ห้ามใช้ชั่วคราว" เจ้าของหรือผู้ครอบครองรถยนต์จะได้รับแบบ คพ.1 และถูกติดเครื่องหมาย "ห้ามใช้ชั่วคราว" บริเวณกระจกหน้ามุมบนด้านขวาของผู้ขับขี่ เจ้าของหรือผู้ครอบครองรถยนต์อาจใช้รถนั้นได้ เพื่อนำรถไปแก้ไขปรับปรุงสภาพเครื่องยนต์ไม่ให้มีควันดำเกินมาตรฐาน หรือนำไปให้พนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจวัดค่าควันดำ ภายหลังจากที่แก้ไขเครื่องยนต์แล้วเท่านั้น
เมื่อแก้ไขปรับปรุงเครื่องยนต์แล้ว ให้นำรถพร้อมแบบ คพ.1 และหลักฐานการแก้ไขปรับปรุงสภาพเครื่องยนต์มาให้พนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจวัดค่าควันดำ เพื่อยกเลิกคำสั่ง "ห้ามใช้ชั่วคราว" ณ สถานที่ยกเลิกคำสั่งห้ามใช้ยานพาหนะที่กำหนด เมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจวัดค่าควันดำแล้วพบว่าไม่เกินมาตรฐานจะยกเลิกคำสั่ง "ห้ามใช้ชั่วคราว" ซึ่งเจ้าของหรือผู้ครอบครองรถยนต์จะได้รับแบบ คพ.4 ไว้เป็นหลักฐาน ขั้นตอนการปฎิบัติตามข้อ 2 และ 3 จะต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 30 วันนับจากวันที่ถูกคำสั่ง "ห้ามใช้ชั่วคราว" หากเกินกำหนด 30 วันแล้ว ยังมีค่าควันดำเกินมาตรฐาน พนักงานเจ้าหน้าที่จะออกคำสั่ง "ห้ามใช้เด็ดขาด" และติดเครื่องหมาย "ห้ามใช้เด็ดขาด" แทนเครื่องหมาย "ห้ามใช้ชั่วคราว"

ห้ามใช้เด็ดขาด คือ คำสั่งห้ามใช้รถยนต์อย่างเด็ดขาด เมื่อไม่นำรถยนต์ไปแก้ไขปรับปรุงเครื่องยนต์ให้มีควันดำ เป็นไปตามมาตรฐาน ภายในกำหนด 30 วัน นับจากวันที่มีคำสั่ง ห้ามใช้ชั่วคราว และจะเคลื่อนย้ายรถยนต์ได้ ก็ต่อเมื่อได้รับการอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ก่อนเท่านั้น
เมื่อถูกคำสั่ง "ห้ามใช้เด็ดขาด" เจ้าของหรือผู้ครอบครองรถยนต์จะได้รับแบบ คพ. 1 และถูกติดเครื่องหมาย "ห้ามใช้เด็ดขาด" บริเวณกระจกหน้ามุมบนด้านขวาของผู้ขับขี่
เจ้าของหรือผู้ครอบครองรถยนต์ไม่สามารถใช้รถนั้นอย่างเด็ดขาด นอกจากจะได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ให้นำรถไปแก้ไขปรับปรุงสภาพเครื่องยนต์เท่านั้น ซึ่งเจ้าของหรือผู้ครอบครองรถยนต์จะได้รับหนังสืออนุญาตตามแบบ คพ. 2 ทั้งนี้การเคลื่อนย้ายรถเพื่อนำไปแก้ไขปรับปรุงเครื่องยนต์จะต้องใช้การลากจูงหรือวิธีอื่นที่ไม่ก่อให้เกิดควันดำเท่านั้น
เมื่อแก้ไขปรับปรุงเครื่องยนต์แล้ว ให้นำรถพร้อมแบบ คพ. 1 และเขียนคำร้องขอยกเลิกคำสั่ง "ห้ามใช้เด็ดขาด" ตามแบบ คพ. 3 ยื่นต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ณ สถานที่ยกเลิกคำสั่ง ห้ามใช้ยานพาหนะที่กำหนด เพื่อขอให้ตรวจวัดค่าควันดำและยกเลิกคำสั่ง "ห้ามใช้เด็ดขาด" เมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจวัดค่าควันดำแล้วพบว่าไม่เกินมาตรฐาน จะทำการยกเลิกคำสั่ง "ห้ามใช้เด็ดขาด" ซึ่งเจ้าของหรือผู้ครอบครองรถยนต์จะได้รับแบบ คพ. 4 ไว้เป็นหลักฐาน
ความผิดฐานฝ่าฝืนคำสั่งห้ามใช้รถยนต์
การฝ่าฝืนเครื่องหมายห้ามใช้รถยนต์ของพนักงานเจ้าหน้าที่มีความผิดต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าพันบาท (ตามมาตรา 102 แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535) ผู้ใดไม่หยุดรถเพื่อให้พนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจสอบหรือเข้าไปในรถยนต์หรือกระทำการใดที่จำเป็นเพื่อตรวจสอบเครื่องยนต์และอุปกรณ์ของรถยนต์ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (ตามมาตรา 103 แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535) ผู้ใดทำเครื่องหมาย (สติ๊กเกอร์) "ห้ามใช้ชั่วคราว" หรือ "ห้ามใช้เด็ดขาด" หลุด ฉีก หรือไร้ประโยชน์ มีโทษตามประมวลกฎหมายอาญา

แผนที่แสดงการตั้งจุดตรวจจับและสถานที่ยกเลิกคำสั่งห้ามใช้ยานพาหนะ
สถานที่ยกเลิกคำสั่งห้ามใช้ยานพาหนะ (9.00 - 15.00 ทุกวัน เว้นวันหยุดราชการ)
- จุดที่ 1 กรมควบคุมมลพิษ ซ.พหลโยธิน 7 (ซ.อารีย์) ถ.พหลโยธิน เขตพญาไท โทร. 0-2298-2616, 0-2298-2620
- จุดที่ 2 สถานีตำรวจนครบาลคู่ขนานลอยฟ้า ถ.ปิ่นเกล้า-นครชัยศรี ฝั่งขาเข้า (ใกล้ ถ.พุทธมณฑลสาย 2)
- จุดที่ 3 กองโรงงานช่างกล (กทม.2, ดินแดง) ถ.มิตรไมตรี ใกล้ศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานคร (ไทย-ญี่ปุ่น) โทร. 0-2246-1908
- จุดที่ 4 ศูนย์ซ่อมกองโรงงานช่างกล สาขาดอนเมือง ถ.พหลโยธิน บริเวณสถานธนานุบาลดอนเมือง โทร. 0-2532-0462
- จุดที่ 5 ศูนย์ซ่อมกองโรงงานช่างกล สาขาประเวศ ซ.สุภาพงษ์ 2 ถ.ศรีนครินทร์ (ตรงข้ามซีคอนสแควร์) โทร. 0-2361-5070
- จุดที่ 6 ศูนย์ซ่อมกองโรงงานช่างกล สาขาราษฎร์บูรณะ บริเวณที่จอดรถเก็บขยะมูลฝอย สำนักงานเขตราษฎร์บูรณะ โทร. 0-2871-4758
- จุดที่ 7 ศูนย์ซ่อมกองโรงงานช่างกล สาขาภาษีเจริญ โรงงานกำจัดมูลฝอย หนองแขม ถ.พุทธมณฑลสาย 3 โทร. 0-2444-2230
การควบคุมคุณภาพอากาศและเสียง
การควบคุมคุณภาพอากาศและเสียงโดยมาตรฐานของกรมควบคุมมลพิษนั้นแบ่งได้หลายรูปแบบและลักษณะการตรวจที่แตกต่างกันออกไปตามประเภทของรถยนต์ตัวอย่างมีดังนี้




ในประเทศไทยใช้แค่มาตรฐาน EURO 4 เท่านั้น
รถยนต์ที่ใช้งานทั่วโลกต่างก็มีมาตรฐานไอเสียที่สูงกว่าประเทศไทยไปไกลมากๆ เช่น ระดับ EURO 5 - 6 ส่วนในประเทศไทยนั้นยังคงใช้มาตรฐาน EURO 4 โดยแบ่งการทดสอบรถยนต์ ออกเป็น 2 ชนิด
1. รถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ที่จุดระเบิดด้วยประกายไฟ (เบนซิน)
2. รถยนต์ขนาดเล็กที่ใช้เครื่องยนต์ที่จุดระเบิดด้วยการอัด (ดีเซล)
2. รถยนต์ขนาดเล็กที่ใช้เครื่องยนต์ที่จุดระเบิดด้วยการอัด (ดีเซล)
มาตรฐานตาม มอก. 2540-2554 เครื่องยนต์ที่ใช้จุดระเบิดด้วยวิธีใช้ประกายไฟ แบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ
- ชนิดเชื้อเพลิง น้ำมันเบนซิน และหรือแก๊สโซฮอล์
- ชนิดเชื้อเพลิง น้ำมันเบนซินหรือแก๊สโซฮอล์ร่วมกับก๊าซธรรมชาติหรือก๊าซปิ โตรเลียมเหลว
- พลังงานจากเชื้อเพลิงและอุปกรณ์สะสมกำลังพลังงานไฟฟ้า เช่น แบตเตอรี่ ตัวเก็บประจุ ล้อช่วยแรงเครื่อง กำเนิดไฟฟ้า ใช้ในการขับเคลื่อนทางกล (Hybrid)
มาตรฐานตาม มอก. 2550-2554 เครื่องยนต์ที่ใช้จุดระเบิดด้วยวิธีใช้การอัด แบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ
- ชนิดเชื้อเพลิง น้ำมันดีเซล
- ชนิดเชื้อเพลิง น้ำมันดีเซลร่วมกับก๊าซธรรมชาติหรือก๊าซปิ โตรเลียมเหลว
- พลังงานจากเชื้อเพลิงและจากอุปกรณ์สะสมกำลังพลังงานไฟฟ้า เช่น แบตเตอรี่ ตัวเก็บประจุ ล้อช่วยแรงเครื่องกำเนิดไฟฟ้า ใช้ในการขับเคลื่อนทางกล (Hybrid)
แสดงค่าปริมาณสารมลพิษไอเสีย EURO 4 (สำหรับรถยนต์เบนซิน)

แสดงค่าปริมาณสารมลพิษไอเสีย EURO 4 (สำหรับรถยนต์ดีเซลขนาดเล็ก)

มาตรฐานเล่มนี้บังคับครอบคลุมการทดสอบรถยนต์ที่ใช้พลังงานจากเชื้อเพลิงและจากอุปกรณ์สะสมกำลัง พลังงานไฟฟ้า (Hybrid) โดยใช้เกณฑ์ค่าแสดงผลปริมาณสารมลพิษเกณฑ์เดียวกัน
ถึงเวลาแล้วที่ผู้ใช้รถยนต์จะหันมาใส่ใจคุณภาพอากาศและมลพิษจากการใช้รถยนต์ของตัวเอง ด้วยการตรวจเช็คสภาพเครื่องยนต์ให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์ เพื่ออากาศบริสุทธิ์อยู่คู่กับเราไปนานๆ

แท็กที่เกี่ยวข้อง
รถยนต์
รถกระบะ
รถปิคอัพ
มลพิษ
pm2.5
รถยนต์ปิคอัพควันดำ ตรวจกันอย่างไร?
ฝุ่น
รถยนต์ควันดำ
กระบะควันดำ

เขียนโดย
เช็คราคา.คอม
CAR GURU

พูดคุยกับกูรูได้ที่