ทำไม?! 'ฝนตก' ยิ่งต้อง 'ล้างรถ'
"ล้างรถทีไรฝนตกทุกที! แบบนี้ไม่ต้องล้างกันแล้ว ล้างอีกก็เปียกอีก" หลายคนคงคิดแบบนี้ใช่มั้ยครับ แต่ขอบอกว่าคุณกำลังทำร้ายรถสุดรักโดยไม่รู้ตัวครับ เพราะรถเปียกไม่ได้แปลว่ารถจะสะอาดเสมอไป ยิ่งเมื่อเราขับลุยฝุ่น ลุยน้ำ ลุยฝน ตบท้ายด้วยลุยแดด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงครับ โดยเฉพาะน้ำฝนในกรุงเทพฯ-ปริมณฑลที่เป็นเขตโรงงาน และฝุ่นควันเยอะ ปัจจัยเหล่านี้ล้วนมีผลต่อชั้นเคลือบสีทั้งสิ้นครับ และนี่คือ! วิธีดูแลรักษาสีรถอย่างถูกวิธีในช่วงหน้าฝน ลองมาดูครับว่ามีอะไรบ้าง
1. ถ้าไม่มีเวลา ก็ฉีดไล่คราบน้ำฝนบ้าง
ในช่วงหน้าฝน ควรหมั่นล้างรถอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังลุยฝนมาใหม่ๆ เพื่อลดการเกิดคราบฝังแน่น แต่หากไม่มีเวลามากนัก แนะนำให้ใช้สายยางฉีดไล่ฝุ่น โคลน และคราบน้ำฝนออกไป และใช้ผ้าเช็ดให้แห้ง
2. ไม่ควรนำผ้าแห้งมาเช็ดรถในทันทีหลังลุยฝน
การนำผ้าแห้งมาเช็ดรถในทันทีหลังลุยฝนจะทำให้เกิดรอยขีดขวนได้ เนื่องจากขณะที่เราขับรถลุยฝนนั้นจะมีฝุ่น ทราย โคลน เกาะที่ผิวรถ ดังนั้นควรฉีดล้างออกก่อนดีที่สุด
3. เมื่อขับรถลุยฝนมาแล้ว พยายามอย่าจอดรถตากแดด
การจดรถตากแดดจะเป็นการทำร้ายสีรถซ้ำหนักเข้าไปอีก เพราะแสงแดดจะทำให้คราบน้ำฝนแห้ง เป็นคราบฝังตัวแน่น และอาจกัดลงลึกถึงเนื้อสีได้
4.เลี่ยงล้างรถเองในช่วงเย็นๆ ค่ำๆ
ฟังแล้วอาจดูแปลกๆ นะครับ แต่เป็นเรื่องที่ละเอียดมาก เพราะความมืดนั้นอาจทำให้เราไม่เห็นคราบน้ำทียังค้างอยู่ตามซอกรถ จนทำความสะอาดได้ไม่ทั่วถึง และทำให้รถเป็นสนิมตามมาได้
5. ไม่ควรจอดรถใต้ร่มไม้ที่มียาง เกสร ดอก หรือผล
ช่วงฤดูฝนมักมีลมกระโชกแรง นอกจากต้นไม้จะหักหรือล้มมาโดนรถเราได้แล้ว สิ่งดังกล่าวอาจจะปลิวมาติดรถ และทำให้สีรถเสียหาย เกิดรอยด่างได้ หากเราไม่แก้ไขในทันที
สุดท้ายครับ แนะนำว่าหากมีเวลาและมีงบเพียงพอ ให้เคลือบสีรถบ้าง อาจลงมือเองหรือเข้าร้านบริการก็สุดแท้แต่กำลังทรัพย์ เพราะนอกจากจะนำให้รถเงางามแล้ว ยังช่วยป้องกันคราบน้ำฝน หากเคลือบสีบ่อยๆ น้ำจะไม่เกาะตัวรถ จึงช่วยลดการเกิดคราบ และทำให้ล้างรถได้ง่ายขึ้นด้วย