ข้อดีข้อเสีย ต่อประกันรถยนต์กับเจ้าเดิม หรือทำกับรายใหม่ แบบไหนดีกว่ากัน?
เวลาใกล้จะหมดประกันรถยนต์ สำหรับคนมีรถก็จะมีเรื่องให้ชวนคิดว่าจะต่อประกันอย่างไรดี ระหว่างเลือกต่อประกันเจ้าเดิม หรือทำประกันกับเจ้าใหม่ (รายใหม่) แบบไหนจะดีกว่ากัน มาติดตามเป็นข้อๆ กันดีกว่าครับ
ข้อแรก "ต่อประกันกับเจ้าเดิม ดียังไง?"
สำหรับคนที่มีรถยนต์ และต้องต่อประกันภัยรถยนต์ในปีที่สอง หากเรามีประวัติที่ดีงาม คือ ไม่เคยเคลมประกันอะไรเลย เราสามารถขอ "ส่วนลดประวัติดี" จากโบรกเกอร์ประกันภัยที่ติดต่อขายประกันให้กับเราได้ โดยส่วนลดนี้จะสามารถลดเบี้ยได้ราว 20% ขึ้นอยู่กับบริษัทประกันแต่ละที่ด้วยนะครับ และหากเราระบุช่วงอายุการขับขี่ของเราจะได้ส่วนลดเพิ่มอีกราว 10% ขึ้นอยู่กับบริษัทประกันภัยอีกเช่นกัน
ข้อสรุปก็คือ สำหรับคนที่มีประวัติดี เคลมน้อย หรือไม่เคยเคลมประกันอะไรเลย การต่อประกันรถยนต์กับเจ้าเดิมน่าจะดีกว่าไปต่อกับเจ้าใหม่ เนื่องจากเราจะได้ส่วนลดประวัติดี ที่ต้องบอกว่าลดเบี้ยประกันไปได้มากทีเดียวเชียว
ข้อที่สอง "ประวัติไม่ค่อยดี ควรต่อประกันกับเจ้าเดิม หรือเจ้าใหม่ดี?"
สำหรับคนที่มีประวัติการขับขี่ที่อาจไม่ดีเท่าไหร่ กล่าวคือ อาจมีการเฉี่ยวชนบ้างเล็กๆ น้อยๆ ทำให้ต้องไปเคลมประกัน หรือแค่อยากทำสีรถให้ดูใหม่เสมอ มีรอยนิดหน่อยก็ขอเคลม แม้กระทั่งอาจประสบอุบัติเหตุหนักทำให้ต้องซ่อมใหญ่
หากเป็นกรณีข้างต้น ข้อแนะนำก็คือ เราควรมองหาประกันเจ้าใหม่มาเปรียบเทียบกับเบี้ยประกันของเจ้าเก่าประกอบการตัดสินใจ เนื่องจากการทำประกันกับเจ้าเก่าเขาจะมีข้อมูลเป็นฐานข้อมูลลูกค้าเดิม หากเรามีประวัติการเคลมประกันบ่อย โอกาสที่เบี้ยประกันจะสูงขึ้นก็จะมีมากกว่า
ข้อที่สาม "เกณฑ์การพิจารณาต่อประกันภัยมีอะไรบ้าง"
สำหรับการต่อประกันภัยเจ้าใหม่ หรือเจ้าเดิม สิ่งที่เราควรคิดพิจารณามีดังต่อไปนี้
1. การบริการของบริษัทประกันภัย เพราะหากการบริการไม่ดี เราก็ไม่ควรเสียเงินต่อประกันกับเจ้านั้น ๆ การบริการที่ดี ได้แก่ รับแจ้งเคลมอย่างรวดเร็วหรือไม่ เจ้าหน้าที่ทำเอกสารและนำส่งการเคลมประกันได้อย่างครบถ้วนหรือเปล่า หากผู้ขับขี่เป็นสุภาพสตรีเมื่อเกิดอุบัติเหตุจะรู้สึกอุ่นใจได้อย่างไร เป็นต้น
2. ความคุ้มครอง ก่อนจะทำประกันกับเจ้าใดก็ตามควรตรวจสอบความคุ้มครองว่าตรงกับที่เราต้องการใช้งานจริง ๆ หรือไม่ ถ้าเราพบว่าไม่ตรงกับความต้องการของเรา เราสามารถต่อรองกับบริษัทประกันภัยก่อนที่จะตกลงปลงใจทำประกันกับเขา เช่น ควรตรวจสอบว่าความคุ้มครองที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ได้รวมอะไรไว้บ้าง อย่างกรณีรถหาย หรือเกิดไฟไหม้รถยนต์ เป็นต้น
3. เบี้ยประกัน การพิจารณาเรื่องเบี้ยประกัน หรือราคาที่เราต้องจ่ายเมื่อซื้อกรมธรรม์ก็เป็นเรื่องสำคัญ และอาจจะสำคัญที่สุดด้วยซ้ำไป โดยเราสามารถเปรียบเทียบราคาจากการสอบถามจากหลาย ๆ บริษัทประกันภัย และต้องตรวจสอบความคุ้มครองด้วยนะครับ เพราะบางที่เบี้ยถูกก็จริงแต่ความคุ้มครองกรณีเกิดเหตุ หรืออุบัติเหตุน้อยกว่า แบบนี้อาจไม่คุ้มค่า ทั้งนี้ต้องเทียบกับพฤติกรรมการขับขี่ของเราประกอบด้วย ถ้าเราเป็นคนขับรถปลอดภัย ก็สามารถเลือกความคุ้มครองที่เหมาะกับเรา แต่เบี้ยประกันถูกลงจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากทีเดียว
4. สถานที่ตั้งศูนย์บริการ การสอบถามข้อมูลสถานที่ตั้งศูนย์บริการ หรืออู่สำหรับเคลมประกันในกรณีที่เราต้องเอารถที่เกิดอุบัติเหตุไปซ่อมก็สำคัญ โดยเราควรเช็คให้ดีว่าในพื้นที่ใกล้ ๆ ที่อยู่เรามีศูนย์บริการของบริษัทประกันที่เราทำอยู่หรือไม่ เพราะหากมีศูนย์ใกล้ ๆ กรณีเกิดอุบัติเหตุจะสามารถติดต่อได้ในเวลารวดเร็วไม่ต้องรอนาน และสะดวกกับการเดินทางเมื่อต้องเอารถไปซ่อมที่อู่อีกด้วย
5. ตรวจสอบทุนประกัน ในกรณีที่เรามีประวัติการเคลมน้อย หรืออาจไม่เคยเคลมเลย อย่าลืมสอบถามเรื่องส่วนลด และที่สำคัญต้องตรวจสอบทุนประกันด้วย เพราะหลายที่ให้ส่วนลดเบี้ยประกันมากกว่า แต่ทุนประกันต่ำลง ในกรณีที่เกิดเหตุ หรืออุบัติเหตุ การมีทุนประกันที่สูงจะดีกว่า และหากเกิดอุบัติเหตุหนัก ไม่สามารถซ่อมแซมรถยนต์ของเราให้กลับมาดังเดิมได้ รถที่มีทุนประกันสูงจะได้รับเงินประกันที่สูงกว่า
6. ส่วนลดเบี้ยประกัน เรื่องสำคัญที่เราไม่ควรมองข้าม อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้นหากเราขับรถดีไม่มีชน ไม่มีเคลมเลยตลอดทั้งปี บริษัทประกันจะถือว่าเราเป็นผู้ขับขี่ที่มีความเสี่ยงต่ำ และมีประวัติดี จะทำให้เราได้รับส่วนลดในปีถัดไป ซึ่งในกรณีที่เราย้ายบริษัทประกัน ก็สามารถแจ้งสิทธินี้ต่อบริษัทประกันเจ้าใหม่ของเราด้วยจึงจะได้รับสิทธิ โดยสิทธิส่วนลดที่เราจะได้รับ มีดังต่อไปนี้
- ขับรถดีปีแรก รับส่วนลด 20% ในปีต่อมา
- ขับรถดีปีที่ 2 ติดต่อกัน รับส่วนลด 30% ในปีต่อมา
- ขับรถดีปีที่ 3 ติดต่อกัน รับส่วนลด 40% ในปีต่อมา
- ขับรถดีปีที่ 4 ขึ้นไป ติดต่อกัน รับส่วนลด 50% ในปีต่อมา
อย่างไรก็ตามสิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดต้องขึ้นอยู่กับนโยบายของบริษัทประกันภัยแต่ละแห่งด้วยนะครับ หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามโดยตรงได้ที่พนักงานของบริษัทประกันภัยที่เราติดต่อ หรือสอบถามกับทางโบรกเกอร์ประกันภัย เพื่อให้เราทำประกันรถยนต์ได้อย่างคุ้มค่าคุ้มภัยได้ดีมีประสิทธิภาพที่สุดนั่นเองครับ