Mercedes-benz C 350 e และ S 500 e Plug-in Hybrid ชาร์จไฟง่ายๆ ที่บ้านคุณ!
บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด เชิญสื่อมวลชนร่วมทดสอบสมรรถนะความแรง ประหยัด พร้อมเทคโนโลยีอันชาญฉลาดกับ 2 รุ่นใหม่สุดหรู Plug-in Hybrid The S 500 e และ The C 350 e พัฒนาเพื่อการลดมลพิษ ประหยัดพลังงานมากขึ้น ผสานความหรูหราและแรงตามสไตล์เบนซ์เช่นเดิม โดย The S 500 e เริ่มต้นเพียง 6,390,000 บาท และ The C 350 e เริ่มต้นเพียง 2,990,000 บาท
ทีมงานเช็คราคา.คอม / Car Guru Thailand / Motorbike Guru Thailand ได้ร่วมทดสอบเมอร์เซเดส-เบนซ์ใหม่ ทั้ง 2 รุ่น ในเส้นทางเชียงใหม่ - เชียงราย, สามเหลี่ยมทองคำ รวมระยะทางกว่า 400 กม. เส้นทางทดสอบเริ่มจากโรงแรมอนันตรา เชียงใหม่ รีสอร์ท มุ่งหน้าสู่โรงแรม อนันตรา โกลเด้น ไทรแองเกิ้ล รีสอร์ท จ.เชียงราย ด้วยเมอร์เซเดส-เบนซ์รุ่นใหม่ล่าสุด The S 500 e และสลับขับรุ่น The C 350 e รวมระยะทางกว่า 400 กิโลเมตร
ภายนอกและภายใน Mercedes-Benz C 350 e
การทดสอบครั้งนี้ทีมงานเช็คราคา.คอมได้มีโอกาสขับทั้ง 2 รุ่น โดยช่วงแรกสัมผัสความสปอร์ตซีดานทันสมัยอย่าง Mercedes-Benz C 350 e ภายนอกแทบไม่แตกต่างจากรุ่น C 300 Bluetech hybrid มากนัก รูปลักษณ์โดดเด่น ดูปราดเปรียว กระจังหน้าแบบคลาสสิกที่มาพร้อมกับโลโก้เมอร์เซเดส-เบนซ์ ติดอยู่เหนือฝากระโปรงหน้าลาย 3 แถบ เสริมโครเมียม พร้อมฟังก์ชั่น AIRPANEL ซึ่งสามารถเปิด-ปิดได้อัตโนมัติ เพื่อช่วยให้ค่าสัมประสิทธิ์ความเสียดทาน รวมถึง การระบายอากาศที่ดียิ่งขึ้น และไฟหน้าแบบ LED Intelligent Light System พร้อมระบบไฟส่องสว่างอัจฉริยะ
ภายในห้องโดยสาร เน้นความหรูหรา ด้วยแผงคอนโซลกลางที่สร้างเป็นชิ้นเดียวกับพนักวางแขนซึ่งถูก ออกแบบอย่างทันสมัย พร้อมด้วย touchpad ที่ติดตั้งบริเวณที่พักแขน ช่วยให้ผู้ใช้ควบคุมการทำงานของอุปกรณ์เครื่องเสียง เช่น วิทยุ-ซีดี MB Audio 20 ที่บริเวณคอนโซลได้เพียงปลายนิ้วสัมผัส ลำโพงคุณภาพสูงจาก Burmester และหลังคาแบบพาโนรามิคซันรูฟ เลื่อนเปิด-ปิดระบบไฟฟ้า
ชิ้นส่วนภายในตกแต่งลายไม้สีดำให้ความหรูและคงกลิ่นไอความสปอร์ต
ชุดเพื่อความบันเทิงเกินคุ้มพร้อมนาฬิกาอนาล็อคสุดคลาสสิก
touchpad ทำหน้าที่คล้ายเมาส์ของคอมพิวเตอร์ใช้งานง่ายมาก
เทคโนโลยี ผู้ขับขี่สามารถเลือกโหมดการขับขี่ได้ 5 รูปแบบ คือ Individual (I), Sport+ (S+), Sport (S), Comfort (C) และ Economy (E)
นอกจากนี้สามารถเลือกโหมดการทำงานของระบบไฮบริดได้ 4 รูปแบบ
HYBRID: การทำงานในรูปแบบนี้ รถยนต์จะถูกขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้า โดยระบบจะเน้นไปที่การใช้งานมอเตอร์ไฟฟ้าในการขับเคลื่อนให้มากที่สุด และใช้เครื่องยนต์ขับเคลื่อนเท่าที่จำเป็น หากกระแสไฟในแบตเตอรี่มีปริมาณต่ำกว่า 20 % ระบบจะใช้เครื่องยนต์ในการขับเคลื่อนเท่านั้น และถ้าผู้ขับขี่ปรับเกียร์อัตโนมัติเป็นโหมดสปอร์ต (S) รถยนต์จะถูกขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เพียงอย่างเดียว มอเตอร์ไฟฟ้าจะไม่ทำงาน
E-MODE: สามารถขับเคลื่อนโดยใช้พลังงานไฟฟ้าอย่างเต็มรูปแบบ (ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว) ได้จนถึงความเร็ว 130 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เป็นระยะทางสูงสุด 31 กิโลเมตรโดยไม่มีการคายไอเสีย (ขึ้นอยู่กับระดับพลังงานของแบตเตอรี่และความเร็วที่ใช้) โดยเฉพาะการขับขี่ในเมืองที่การทำงานของระบบนี้สามารถครอบคลุมการใช้งานได้เป็นอย่างดี ผู้ขับขี่จะต้องไม่กดแป้นคันเร่งจนเกินแรงต้าน หากกดแป้นคันเร่งเกินแรงต้านเมื่อใด เครื่องยนต์จะเข้ามาทำหน้าที่ในการขับเคลื่อนรถยนต์ทันที
E-SAVE: ในขณะที่เริ่มต้นใช้ E-SAVE ระดับกระแสไฟฟ้าที่มีอยู่ในแบตเตอรี่ high-volt ในขณะนั้นจะถูกบันทึกค่าไว้ จากนั้นระบบจะใช้เครื่องยนต์เป็นหลัก ในการขับเคลื่อน ส่วนมอเตอร์ไฟฟ้าจะถูกใช้น้อยที่สุด เพื่อรักษาระดับกระแสไฟฟ้าในแบตเตอรี่ให้มีปริมาณเท่าเดิมกับตอนเริ่มต้น ยกตัวอย่างเช่น ถ้ามีการวางแผนการเดินทางล่วงหน้า ว่ากำลังจะต้องเดินทางเข้าเมืองที่มีการจราจรหนาแน่น หลังจากชาร์จแบตเตอรี่ high-volt จนเต็มแล้ว ควรเลือก E-SAVE ในการเริ่มต้นเดินทางก่อนที่จะเข้าเมือง เมื่อขับถึงในเมืองก็จะมีปริมาณกระแสไฟสูงสุดที่จะใช้ E-MODE สำหรับการเดินทางในเมืองได้อย่างเต็มที่
CHARGE: การทำงานในรูปแบบนี้ รถยนต์จะถูกขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เพียงอย่างเดียว โดยแบตเตอรี่ high-volt จะถูกรักษาระดับการชาร์จให้อยู่ในระดับปานกลางในขณะขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ และจะไม่มีการใช้มอเตอร์ไฟฟ้าในการขับเคลื่อนเลย เพื่อให้เกิดการชาร์จกระแสไฟฟ้าเข้าไปเก็บไว้ในแบตเตอรี่ high-volt อย่างต่อเนื่อง แรงหมุนของเครื่องยนต์จะถูกนำมาแปลงเป็นพลังงานไฟฟ้า ไปสะสมไว้ในแบตเตอรี่และจะมีการแปลงพลังงานจลน์ที่เกิดจากการชะลอความเร็วหรือการเบรกให้แปรเปลี่ยนเป็นพลังงานไฟฟ้าและเก็บสะสมไว้ในแบตเตอรี่อีกด้วย เมื่อชาร์จไฟเต็ม ระบบจะปรับไปที่การทำงานในรูปแบบ E-SAVE โดยอัตโนมัติ
เบาะคู่หน้าทรงสปอร์ตกระชับรับสัดส่วน เบาะคู่หลังนั่งสบายมีพื้นที่วางขาเหลือเยอะ พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกเต็มคัน
หลังคาแบบ
หลังคาแบบพาโนรามิคซันรูฟ เลื่อนเปิด-ปิดระบบไฟฟ้า ชุดควบคุมเบาะและลำโพง
Burmester Hi-end สุดๆ
ปลั๊กชาร์จไฟตรงส่วนกันชนท้าย Mercedes-Benz C 350 e พลัง 211 แรงม้า + มอเตอร์ไฟฟ้า 279 แรงม้า!
The C 350 e ใช้เครื่องยนต์ 4 สูบแถวเรียง ขนาด 1,991 ซีซี 211 แรงม้า ที่ 5,500 รอบ/นาที แรงบิดในรุ่นซีดาน 350 นิวตันเมตร ที่ 1,200-4,000 /นาที อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. 5.9 วินาที ความเร็วสูงสุด 250 กม./ชม.
ส่วนในรุ่นเอสเตท (Estate) มีแรงบิด 300 นิวตันเมตร ที่ 1,200-4,000 /นาที อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. 6.2 วินาที ความเร็วสูงสุด 246 กม./ชม. ขับเคลื่อนด้วยระบบส่งกำลังแบบเกียร์อัตโนมัติ 7G-TRONIC PLUS พร้อมระบบเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย สามารถขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าหรือ EV เพียงอย่างเดียวได้ไกลถึง 31 กิโลเมตร
Specification Mercedes-Benz C 350 e
ภายนอกและภายใน Mercedes-Benz S 500 e
S 500 e AMG Premium มาถึงรุ่นใหญ่อย่าง S 500 e มาพร้อมความหรูหราที่ครบครันมากที่สุด มีให้เลือก 2 ดีไซน์ คือ Exclusive และ AMG Premium พร้อมด้วยการปล่อย CO2 ที่ลดเหลือเพียง 62 กรัม/กิโลเมตร นอกจากนี้ และเป็นรถยนต์หรูที่ใช้เครื่องยนต์ความจุกระบอกสูบ 3.0 ลิตรรุ่นแรกของโลกที่ผ่านการรับรองว่าเป็นรถยนต์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงยังเป็นรถยนต์ไฮบริดรุ่นแรกของเมอร์เซเดส-เบนซ์ที่นำระบบสำรองพลังงานจากการเหยียบแป้นเบรกมาใช้ ซึ่งระบบนี้จะช่วยผสานการทำงานระหว่างการเหยียบแป้นเบรกของผู้ขับขี่และการใช้ระบบเบรกแบบไฟฟ้าเมื่อผู้ขับขี่ใช้พลังงานจากมอเตอร์ไฟฟ้า
S 500 e AMG Premium
S 500 e AMG Premium
S 500 e AMG Premium
S 500 e Exclusive
S 500 e Exclusive
S 500 e Exclusive
S 500 e Exclusive
S 500 e Exclusive
ภายนอกหรูหราสง่างาม แนวคิดการออกแบบที่ทันสมัยและเฉียบคม ผสานความเป็นสปอร์ตมากขึ้น ด้วยกระจังหน้า ขนาดใหญ่ ซึ่งได้รับการออกแบบให้มีความโดดเด่นเป็น 3 มิติ นับตั้งแต่ฝากระโปรงแบบ long bonnet ความสวยงามของลายเส้นพลิ้วไหวด้านข้าง (dropping line) ความโค้งมนของเส้นหลังคา (roof line) ตลอดด้านท้ายรถที่ออกแบบให้มีความลาดเท ทำให้ The S 500 e มีสัดส่วนตัวรถสวยงามสมบูรณ์แบบ ตอกย้ำภาพลักษณ์ความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมยานยนต์หรู
S 500 e Exclusive
S 500 e Exclusive
S 500 e Exclusive
S 500 e Exclusive
S 500 e Exclusive
S 500 e AMG Premium
S 500 e AMG Premium
S 500 e AMG Premium
S 500 e AMG Premium
S 500 e AMG Premium
S 500 e AMG Premium
S 500 e AMG Premium
S 500 e AMG Premium
ภายในห้องโดยสาร เน้นการใช้วัสดุคุณภาพสูงและการออกแบบที่เน้นการใช้งานได้จริงเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นลายไม้ที่ได้รับการออกแบบพิเศษ designo high-gloss sunburst brown myrtle wood แบบ 2 โทนสี (two-tone) รวมทั้งเบาะนั่งหุ้มหนัง Nappa แบบ Exclusive package ตัดเย็บลายเบาะแบบ diamond design พร้อมด้วยผ้าหลังคา และแผงบังแดดด้านหน้าหุ้มด้วย DINAMICA microfibre
สร้างบรรยากาศด้วยไฟเรืองแสงล้อมรอบห้องโดยสาร (Ambient Lighting) ที่สามารถปรับเฉดได้ถึง 7 สี นอกจากนั้นยังติดตั้งพวงมาลัยหุ้มหนังสลับลายไม้ 2 ก้านแบบมัลติฟังก์ชั่น ซึ่งเป็นพวงมาลัยนิรภัยพร้อมพาวเวอร์ที่สามารถปรับน้ำหนักได้ตามความเร็วรถ ซึ่งจะช่วยทำให้การควบคุมทิศทางรถเป็นไปอย่างเที่ยงตรง แม่นยำ และปลอดภัย เสริมความโอ่โถงด้วยหลังคาแบบพาโนรามิคซันรูฟ เลื่อนเปิด-ปิดระบบไฟฟ้า
เทคโนโลยี รถยนต์ The S 500 e ยังสามารถเลือกโหมดการทำงานของระบบ Plug-in Hybrid ได้ถึง 4 แบบ คือ
HYBRID: การทำงานในรูปแบบนี้ รถยนต์จะถูกขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้า โดยระบบจะเน้นไปที่การใช้งานมอเตอร์ไฟฟ้าในการขับเคลื่อนให้มากที่สุด และใช้เครื่องยนต์ขับเคลื่อนเท่าที่จำเป็น หากกระแสไฟในแบตเตอรี่มีปริมาณต่ำกว่า 20% ระบบจะใช้เครื่องยนต์ในการขับเคลื่อนเท่านั้น และถ้าผู้ขับขี่ปรับเกียร์อัตโนมัติเป็นโหมดสปอร์ต (S) รถยนต์จะถูกขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เพียงอย่างเดียวมอเตอร์ไฟฟ้าจะไม่ทำงาน
E-MODE: สามารถขับเคลื่อนโดยใช้พลังงานไฟฟ้าอย่างเต็มรูปแบบ (ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว)ได้จนถึงความเร็ว 140 กิโลเมตร/ชั่วโมง เป็นระยะทางสูงสุด 33 กิโลเมตรโดยไม่มีการคายไอเสีย (ขึ้นอยู่กับระดับพลังงานของแบตเตอรี่และความเร็วที่ใช้) โดยเฉพาะการขับขี่ในเมืองที่การทำงานของระบบนี้ สามารถครอบคลุมการใช้งานได้เป็นอย่างดี ผู้ขับขี่จะต้องไม่กดแป้นคันเร่งจนเกินแรงต้าน หากกดแป้นคันเร่งเกินแรงต้านเมื่อใด เครื่องยนต์จะเข้ามาทำหน้าที่ในการขับเคลื่อนรถยนต์ทันที
E-SAVE: ในขณะที่เริ่มต้นใช้ E-SAVE ระดับกระแสไฟฟ้าที่มีอยู่ในแบตเตอรี่ high-volt ในขณะนั้นจะถูกบันทึกค่าไว้ จากนั้นระบบจะใช้เครื่องยนต์เป็นหลัก ในการขับเคลื่อน ส่วนมอเตอร์ไฟฟ้าจะถูกใช้น้อยที่สุด เพื่อรักษาระดับกระแสไฟฟ้าในแบตเตอรี่ให้มีปริมาณเท่าเดิมกับตอนเริ่มต้น ยกตัวอย่างเช่น ถ้ามีการวางแผนการเดินทางล่วงหน้า ว่ากำลังจะต้องเดินทางเข้าเมืองที่มีการจราจรหนาแน่น หลังจากชาร์จแบตเตอรี่ high-volt จนเต็มแล้ว ควรเลือก E-SAVE ในการเริ่มต้นเดินทางก่อนที่จะเข้าเมือง เมื่อขับถึงในเมืองก็จะมีปริมาณกระแสไฟสูงสุดที่จะใช้ E-MODE สำหรับการเดินทางในเมืองได้อย่างเต็มที่
CHARGE: การทำงานในรูปแบบนี้ รถยนต์จะถูกขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เพียงอย่างเดียว โดยแบตเตอรี่ high-volt จะถูกรักษาระดับการชาร์จให้อยู่ในระดับปานกลางในขณะขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ และจะไม่มีการใช้มอเตอร์ไฟฟ้าในการขับเคลื่อนเลยเพื่อให้เกิดการชาร์จกระแสไฟฟ้าเข้าไปเก็บไว้ในแบตเตอรี่ high-volt อย่างต่อเนื่อง
แรงหมุนของเครื่องยนต์จะถูกนำมาแปลงเป็นพลังงานไฟฟ้าไปสะสมไว้ในแบตเตอรี่และจะมีการแปลงพลังงานจลน์ที่เกิดจากการชะลอความเร็วหรือการเบรกให้แปรเปลี่ยนเป็นพลังงานไฟฟ้าและเก็บสะสมไว้ในแบตเตอรี่อีกด้วย เมื่อชาร์จไฟเต็มระบบจะปรับไปที่การทำงานในรูปแบบ E-SAVE โดยอัตโนมัติระบบควบคุมรถอัจฉริยะ ที่จะทำงานโดยอัตโนมัติเพื่อปรับการทำงานของเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าให้เหมาะสมที่สุด เพื่อการขับขี่ที่ประหยัดพลังงานและช่วยให้รถสามารถเก็บพลังงานสำรองได้ โดยระบบจะตรวจจับแรงกดที่แป้นคันเร่งเพื่อส่งสัญญาณเตือนให้ผู้ขับขี่ผ่อนแรงกดที่แป้นคันเร่งตามความเหมาะสม หากรถยนต์ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าและผู้ขับขี่เหยียบแป้นคันเร่งจนถึงจุดที่มีการตั้งค่าไว้ระบบจะสลับการทำงานไปใช้เครื่องยนต์ให้โดยอัตโนมัติ โดยระบบการจัดการพลังงานนี้ทำงานด้วยข้อมูล 2 ประเภท คือ ข้อมูลเส้นทาง ผ่านการตรวจจับอัตโนมัติ หรือใช้ค่าจากโหมดการทำงานของระบบ Plug-In HYBRID 4 แบบ, ข้อมูลจากผู้ขับขี่ผ่านการตรวจจับจากโหมดการปรับเปลี่ยนเกียร์อัตโนมัติ 3 แบบ ตามที่ผู้ขับขี่เลือกใช้
Mercedes-Benz S 500 e พลัง 333 แรงม้า + มอเตอร์ไฟฟ้า 442 แรงม้า!
The S 500 e ใช้เครื่องยนต์เบนซิน วี 6 สูบ 2,996 ซีซี เทอร์โบคู่ 333 แรงม้า ที่ 5,250-6,000 รอบ/นาที แรงบิด 480 นิวตันเมตร ที่ 1,600-4,000 /นาที อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ที่ 5.2 วินาที ความเร็วสูงสุด 250 กม./ชม. ขับเคลื่อนด้วยระบบส่งกำลังแบบเกียร์อัตโนมัติ 7G-TRONIC PLUS พร้อมระบบเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย แบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออน ขนาดความจุ 8.7 กิโลวัตต์ น้ำหนักประมาณ 114 กิโลกรัม ไว้ที่ใต้เพลาขับด้านหลัง ซึ่งมีระบบหล่อเย็นจากน้ำ และฝาป้องกันการกระแทกที่ผลิตจากแผ่นโลหะปิดทับไว้อีกชั้นหนึ่ง เพื่อให้ผู้ขับขี่ได้รับความปลอดภัยสูงสุด โดยแบตเตอรี่นี้สามารถชาร์ตไฟให้เต็มได้ภายในเวลาประมาณ 4 ชั่วโมง ส่งผลให้สามารถขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าหรือ EV เพียงอย่างเดียวได้ไกลถึง 33 กิโลเมตร
Specification Mercedes-Benz
Mercedes-Benz C 350 e
สำหรับการทดลองขับในรุ่นแรกคือ Mercedes-Benz C 350 e ให้อารมณ์ความเป็นสปอร์ตมากกว่ารถซีดานทั่วไป มันคือ รถสำหรับผู้ที่ต้องการความปราดเปรียวและคงความหรูตามภาพลักษณ์ของ "ดาวสามแฉก" อย่างลงตัว ตำแหน่งการนั่งขับ ท่านั่งรวมถึงปุ่มควบคุมต่างๆ ถนัดมือและใช้งานง่ายๆ แม้ในระยะแรกอาจไม่คุ้นเคยกับคันเกียร์ตรงคอพวงมาลัยนัก
พวงมาลัยทรงตัดด้านล่างยิ่งเข้าทางผู้ชื่นชอบรถสไตล์สปอร์ต เบาะนั่งกระชับไม่ต้องเกร็งตัวมากนักเมื่อเข้าโค้งหรือขับผ่านสภาพถนนไม่เรียบ ทัศนวิสัยดีเกินคาด เพราะตำแหน่งเบาะที่ปรับให้ต่ำลงระดับเกือบสุด แต่สามารถมองเห็นรอบตัวรถได้ถนัด ทั้งกระจกบังลมหน้า กระจกข้าง และกระจกมองหลัง ค่อนข้างชัดเจน
การควบคุมที่แม่นยำบวกน้ำหนักพวงมาลัยที่ปรับความหนืดได้เหมาะสมโดยเฉพาะเมื่อขับที่ความเร็วสูง ในขณะเข้าโค้งอาจต้องใช้แรงค่อนข้างมาก แต่ช่วยให้จับพวงมาลัยได้นิ่งและมั่นคงยิ่งขึ้น แม้ทางตรงยาวๆ ก็สามารถควบคุมทิศทางได้นิ่งและไม่วอกแวกง่าย เพิ่มความมั่นใจได้มาก
คันเร่งตอบสนองได้ในระดับกลางๆ ไม่ไวเกินไป แต่ไม่ต้องออกแรงเหยียบลึกมากนัก ทำให้ควบคุมความเร็วได้เนียนมากขึ้น แต่ที่น่าตื่นเต้นคือ อัตราเร่งที่ดึงหลังติดเบาะราวๆ กับรถสปอร์ตแท้ เพราะการเร่งแซงจากความเร็วประมาณ 100 กม./ชม. ไต่ระดับไปถึง 180 กม./ชม.นั้นง่ายๆ รวดเร็วและไม่ต้องลุ้น เมื่อคิกดาวน์แล้วคุณจะรู้สึกเหมือนจรวดที่พุ่งทะยานไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว โดยมีข้อควรระวังไว้ว่าควรเผื่อระยะทางข้างหน้าไว้มากๆ เพราะความเร็วที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จึงต้องเบรกหรือชะลอความเร็วลงมาให้ทันก่อนจะถึงรถคันที่อยู่ถัดไป เว้นแต่ว่าทางข้างหน้าโล่งไม่มีรถและต้องแน่ใจว่าปลอดภัยด้วยนะครับ
โหมดวิ่งไฟฟ้าล้วนใน Mercedes-Benz C 350 e ได้ลองขับที่ความเร็วในวันทดสอบประมาณ 80 กม./ชม. โดยที่ใช้ไฟฟ้าอย่างเดียว เครื่องยนต์น้ำมันไม่ได้ทำงานเลย แต่ไม่ทันได้ลองความเร็วสูงสุดที่ทางโรงงานเคลมไว้ที่ 130 กม./ชม. (ในโหมดไฟฟ้าล้วน) ก็จำเป็นต้องเติมคันเร่งแซงรถคันข้างหน้าเสียก่อน จึงทำให้เครื่องยนต์ที่ใช้น้ำมันติดในจังหวะกำลังเร่งแซงพอดี
ช่วงล่างในโหมดปกติก็นับว่าเกาะและหนึบ ควบคุมได้แม่นยำเมื่อเข้าโค้งในความเร็วใช้งานจริงๆ ประมาณ 80-120 กม./ชม. ไม่มีอาการเป๋หรือปัดแม้แต่น้อย และยังคงความนุ่มนวลได้ดี ในวันทดสอบจึงไม่จำเป็นต้องปรับโหมดสปอร์ตก็สามารถขับได้อย่างมั่นใจ
ความปลอดภัยที่ให้มาครบถ้วน เช่น ระบบควบคุมการทรงตัว EPS, ABS, Adaptive Brake พร้อมระบบ Hold และ Hill - Start Assist หรือระบบช่วยนำรถเข้าจอดอัตโนมัติ Active Parking Assist เป็นต้น
ความสะดวกสบายด้วยเครื่องเสียงระดับเทพเสียงนุ่มลึกแต่หนักแน่น พร้อมแท่นคอนโทรลตรงคอนโซลกลางใช้งานคล่อง แต่ต้องคุ้นเคยสักพัก ส่วนที่หน้าจอตรงกลางคอนโซลหน้าอาจต้องเหลือบมองบ้างเพื่อให้ทราบตำแหน่งของฟังก์ชั่นต่างๆ ในการใช้ touchpad สั่งงาน และคงความคลาสสิกด้วยนาฬิกาแบบอนาล็อค
Mercedes-Benz S 500 e
มาถึงรุ่นใหญ่สุด Mercedes-Benz S 500 e ที่ให้ความโอ่อ่า เหนือระดับและคงความเป็นผู้นำรถผู้บริหาร สัมผัสแรกให้ความรู้สึกว่าเป็นบุคคลสำคัญ เมื่ออยู่ใน The S 500 e ในวันทดสอบทีมงานเช็คราคา.คอมได้ขับรุ่น S 500 e AMG Premium สะดุดตาด้วยการตกแต่งแนวสปอร์ตจากชุดแต่งรอบคันจากสำนัก AMG ซึ่งกันชนหน้าจะดีไซน์สปอร์ตมากขึ้น และกันชนหลังมีแผ่นด้านล่างตรงกลางเป็นสีเงิน และสเกิร์ตด้านข้าง
สมรรถนะของรุ่นใหญ่อย่าง S 500 e AMG Premium ตอบสนองแบบนุ่มๆ เมื่อลองคิกดาวน์เพื่อเร่งแซง จะไม่มีอาการกระชากมากนัก และอัตราเร่งมาแบบต่อเนื่อง ใช้เวลาจาก 100 กม./ชม. ถึงระดับ 180 กม./ชม. ในพริบตาครับ! ใช้เวลาสั้นมากๆ (ไม่แนะนำให้เลียนแบบ การขับเร็วเป็นอัตรายและอาจเกิดอุบัติเหตุได้) ซึ่งใน S 500 e AMG Premium จะตอบสนองได้อย่างนุ่มนวลตามแบบฉบับรถหรู แต่ให้อัตราเร่งที่ดีดุจรถสปอร์ต ด้วยกำลังทั้งเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้ากว่า 400 แรงม้า และแรงบิดมหาโหดกว่า 600 นิวตันเมตร พาตัวถังขนาดกว่า 2 ตันให้ปลิวแตะ 200 กม./ชม. แบบชิลๆ ครับ
ระบบช่วงล่างนับว่าให้ความนุ่มนวลและมาพร้อมการทรงตัวที่ดี แม้จะปรับโหมดช่วงล่างแบบปกติที่ในความเร็วสูงสามารถควบคุมรถได้อย่างมั่นคง และยิ่งปรับโหมดระบบช่วงล่างเป็นสปอร์ต ยิ่งมั่นใจมากขึ้นไปอีก แต่ก็มีอาการโยนๆ อยู่บ้างเมื่อเจอโค้งและถนนไม่เรียบที่ความเร็วสูงๆ อาจเพราะช่วงล่างที่ยังเน้นความนุ่มนวลและหรูหราในสไตล์ "Top of The Luxury Car" แต่ก็ยังให้ความมั่นใจเชื่อใจได้ในทุกรูปแบบการเดินทาง
เทคโนโลยี "ไฮบริด" ใน S 500 e AMG Premium ใหม่ ในโหมดวิ่งมอเตอร์ไฟฟ้าล้วน (E-MODE) ซึ่งสามารถปรับได้จากปุ่มปรับทางด้านล่างฝั่งซ้ายของชุดควบคุมที่คอนโซลกลาง ใกล้ๆ TouchPad ในโหมดนี้สามารถวิ่งได้ระยะทางไกลถึง 30 กว่ากม. และทดลองเร่งทำความเร็วได้สูงถึง 120 กม./ชม. โดยเครื่องยนต์ที่ใช้น้ำมันไม่ทำงาน นับว่ากำลังมอเตอร์ไฟฟ้าให้ความประหยัดและแรงเกินพอ ส่วนถ้าเป็นโหมดปกติ (HYBRID) ยิ่งขับสนุกและให้ความประหยัดไม่แพ้กัน ในบางจังหวะขับขึ้นเนินชันแตะคันเร่งเบาๆ ก็สามารถขับขึ้นไปได้อย่างสบายๆ โดยเครื่องยนต์น้ำมันยังไม่ทำงานด้วยซ้ำ ใช้เพียงมอเตอร์ไฟฟ้ากำลัง 116 แรงม้าล้วนๆ
ความสะดวกสบายที่จัดเต็มครบครันทั้งจอสัมผัสที่คอนโซลหน้า และ หมอนพิงศีรษะสำหรับผู้โดยสารตอนหลัง แอร์หลัง เบาะตอนหลังพร้อมที่รองขา เป็นต้น
ปลั๊กชาร์จไฟเสียบที่ส่วนท้ายของรถ
ชุดอุปกรณ์เสียบชาร์จไฟ
ตัวควบคุมการชาร์จไฟเพื่อให้กระแสนิ่งป้องกันความเสียหายจากกรณีไฟกระชาก,ไฟตก
ระบบการชาร์จไฟเข้าตัวรถสะดวกรวดเร็วใน 4 ชม. และสามารถใช้เสียบเข้ากับเต้ารับที่บ้านได้ทันที กินไฟฟ้าใกล้เคียงกับการใช้เครื่องใไฟฟ้าทั่วไฟ เช่น เตารีด แอร์ขนาด 20,000 BTU (โดยประมาณ) เป็นต้น แต่มีข้อควรระวังว่า "ห้ามใช้ปลั๊กพ่วงเด็ดขาด" ต้องใช้ปลั๊กที่มาจากเต้ารับโดยตรงเท่านั้น! เพราะอาจเกิดความร้อนจากการใช้ปลั๊กพ่วงที่ไม่ได้มาตรฐานและเกิดการเสียหายได้ และมาพร้อม Warranty battery ถึง 10 ปี และบริการหลังการขายระดับเทพทั้ง Star Assist 02-205-7811 (24 ชั่วโมง) เหตุฉุกเฉิน Star Assist พร้อมให้ความช่วยเหลือคุณตลอด 24 ชั่วโมง ไม่เว้นวันหยุด
จอดปุ๊บเสียบปั๊บ
ความคุ้มค่าเมื่อเทียบกับราคา
Mercedes benz - (เมอร์เซเดส เบนซ์ ใหม่) ทั้ง The C 350 e และ The S 500 e นอกจากให้ความหรูหรา สปอร์ตและครบครันด้วยความปลอดภัยแล้ว ยังสามารถเลือกความเป็นตัวตนได้ หากชื่นชอบความสปอร์ตคล่องตัวและดูวัยรุ่นๆ ก็ The C 350 e ที่คงความเป็นรถระดับหรูในคันเดียว และถ้าผู้ชอบความสุขุมนุ่มลึก แต่หมัดหนัก The S 500 e ตอบสนองได้ครบทั้งภาพลักษณ์ที่หรูหราและแฝงความสปอร์ตเมื่อต้องการบุคลิกอันโดดเด่น ที่สำคัญคือ ทั้ง 2 รุ่นนี้ เป็นรถยนต์ "ไฮบริด ปลั๊กอิน" รุ่นแรกในรถระดับนี้ ที่ใช้งานสะดวกจริง คุ้มค่าจริง ผสานความหรูหราและสปอร์ตได้อย่างลงตัวที่สุด
สัมผัสยนตรกรรมทั้ง 2 รุ่นในราคาสุดเหลือเชื่อ
- Mercedes-Benz The C 350 e Exclusive ราคา 2,990,000 บาท
- Mercedes-Benz The C 350 e AMG Dynamic ราคา 3,340,000 บาท
- Mercedes-Benz The C 350 e Estate AMG ราคา 3,690,000 บาท
- Mercedes-Benz The S 500 e Exclusive ราคา 6,390,000 บาท
- Mercedes-Benz The S 500 e AMG Premium ราคา 6,990,000 บาท