Nissan Navara NP300 แกร่งเกินคาด ฉลาดเกินใคร
นิสสัน นาวาร่า เอ็นพี300 ใหม่ - Nissan Navara NP300 สายพันธุ์แท้ ทน อึด ประหยัดแต่แรง พลิกโฉมรถปิคอัพจากเดิมโดยสิ้นเชิงทั้งรูปลักษณ์ภายนอก และโดดเด่นด้วยภายในที่มาสไตล์ซีดานสุดหรูอย่างรุ่นเทียน่า ขุมพลังของนาวาร่า เอ็นพี300 ใช้เครื่องยนต์ดีเซลคอมมอนแรล 2.5 ลิตร 190 แรงม้า กำลังมากที่สุดของพิกัด 2.5 ลิตรในไทย! แรงบิดมหาโหด 450 นิวตันเมตร และยังติดตั้งอุปกรณ์เพิ่มความสะดวกสบายเต็มคันทั้งเครื่องเสียงจอสัมผัสพร้อมเนวิเกเตอร์ แอร์อัตโนมัติ ช่องแอร์หลัง ราคาเริ่มต้นที่รุ่นล่างสุด 736,000 บาท (รุ่น Double cab E 6MT) ไปจนรุ่นท็อปสุด ราคา 1,043,500 บาท (รุ่น Double cab 4WD VL 7AT) *ราคาอัพเดทเมื่อ 1 ม.ค.60
กว่า 80 ปี แห่งความแกร่งบนถนนทั่วโลก นิสสันพัฒนารถยนต์ปิคอัพมาอย่างสม่ำเสมอ และถ้ายังจำได้ในอดีตรถปิคอัพของ นิสสันรุ่น "ช้างเหยียบ" ในชื่อดัทสัน 1300 รหัสตัวถัง 620 ที่โด่งดังจากหนังโฆษณาชุดที่ใช้ช้างขึ้นไปเหยียบบนหลังกระบะ และในยุค 90 นิสสัน รุ่นบิ๊กเอ็ม ก็สร้างความนิยมในไทยได้อีกครั้ง ด้วยรูปลักษณ์ที่ดูแข็งแกร่ง ใช้เครื่องยนต์รหัส BD 25 มีเรี่ยวแรงประมาณ 90 แรงม้า และรุ่นต่อมาเปลี่ยนมาใช้ TD 27 มีเรี่ยวแรงประมาณ 100 แรงม้า ในโฉม Frontier ประมาณปี 1999 ขึ้นไป แม้กำลังไม่สูงนักแต่นับว่ารอบจัดใช้ได้ วิ่งความเร็วปลายไหลจนมิดมาตรวัด ห้องโดยสารภายในที่กว้างเหนือคู่แข่งและบรรทุกหนักได้สบายๆ ซึ่งในไลน์การผลิตนั้นยังมีอีกหลากหลายรุ่นย่อยให้ได้เลือกใช้งาน
Nissan Navara NP300 ใหม่ พัฒนาต่อยอดจากรุ่นสู่รุ่นถ่ายทอดความทนทาน แข็งแกร่ง และความแรงเพื่อยกระดับรถปิคอัพเดิมๆ เสริมความหรูหราสะดวกสบายมากขึ้น
ทีมงานเช็คราคา.คอมได้รับความอนุเคราะห์รถยนต์นิสสัน นาวาร่าใหม่ ดับเบิ้ลแค็บ 2.5 ลิตร 4X4 เกียร์อัตโนมัติรุ่นท็อปสุด สีส้มสด ราคา 1,043,500 บาท จากบริษัท นิสสัน มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ในการนำมาทดสอบครั้งนี้
กรุงเทพฯ - นครนายก เริ่มจากถนนชิดลมขึ้นทางด่วนสุขุมวิทและต่อด้วยทางด่วนฉลองรัช (รามอินทรา-อาจณรงค์) มุ่งหน้าถนนวงแหวนตะวันออกเข้าถนนรังสิต-นครนายก มุ่งหน้าจุดหมายปลายทาง ณ อ่างเก็บน้ำห้วยปรือ อ.เมือง จ.นครนายก
รวมระยะทางไป-กลับ 369.6 กม. น้ำมันเต็มถัง เดินทาง 2 คนพร้อมอุปกรณ์การบันทึกภาพ
นิสสัน นาวาร่า เอ็นพี300 ใหม่ - Nissan Navara NP300 รุ่น Double Cab มีมิติตัวถังยาว 5,255 มม. กว้าง 1,850 มม. สูง 1,790 มม. ระยะฐานล้อ 3,150 มม. น้ำหนัก 1,905 กก. รูปทรงที่ปรับโฉมใหม่ทั้งคัน แตกต่างจากรุ่นก่อนหน้า แต่ยังคงรูปทรงสไตล์อเมริกันและดูแกร่งเช่นเดิม โดดเด่นด้วยไฟหน้าโคมโปรเจ็คเตอร์พร้อมหลอดแบบไบ-ซีนอน และ LED Daylight เป็นเส้นยาวสว่างสะดุดตา กระจังหน้าโครเมียมขนาดใหญ่ กันชนหน้าชิ้นใหญ่พร้อมไฟตัดหมอก และครอบโครเมียมทั้ง 2 ฝั่ง ด้านข้างออกแบบเน้นเส้นสายที่ดูแกร่ง มือจับประตูโครเมียม ซุ้มล้อขนาดใหญ่ทั้ง 4 ล้อ คาดสติกเกอร์ "2.5 DDTi VGS TURBO" ที่ด้านล่างประตูคู่หน้าบ่งบอกถึงพลัง และ "4WD VDC TCS HSA HDC" ที่ข้างกระบะท้าย กระจกมองข้างพร้อมฝาครอบโครเมียมไฟเลี้ยว LED ในตัว ติดตั้งบันไดด้านข้างเพื่อสะดวกขึ้น-ลง ฝากระบะท้ายติดตั้งสปอยเลอร์เล็กๆ ส่วนกันชนหลังเป็นแบบโครเมียมสลับสีดำ ติดตั้งแร็คบนหลังคา เสาอากาศแบบสั้น และไฟเบรกดวงที่สาม สรุปว่ามีจุดเด่นเกือบทั้งคันเลยครับ
ภายในฉีกกฎเดิมๆ เหมือนไม่ใช่รถปิคอัพ! ด้วยคอนโซลหน้าออกแบบให้เหมือนรถระดับ Luxury Car แต่ดูแข็งแกร่งใช้วัสดุทนทาน พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นควบคุมเครื่องเสียงพร้อมปุ่มรับสายโทรออกได้ ส่วนตรงกลางมีช่องแอร์ขนาดใหญ่และเครื่องเสียงระบบจอสัมผัสขนาด 7 นิ้ว จาก KENWOOD DNX7330BT แถมยังมีรีโมทมาให้ด้วย มาพร้อมระบบนำทางที่ใช้งานได้ง่ายมากๆ และภาพจากกล้องมองหลัง ส่วนระบบแอร์เป็นแบบอัตโนมัติ สามารถปรับอุณหภูมิแยกซ้ายขวาพร้อมช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารด้านหลังทำให้เย็นเร็วขึ้นอีกแม้จอดตากแดดนานๆ เบาะคู่หน้าขนาดใหญ่นั่งสบายพร้อมระบบปรับไฟฟ้า 8 ทิศทางและที่ดันหลังในตำแหน่งคนขับ ส่วนเบาะตอนหลังในส่วนรองสะโพกยาวขึ้นนั่งได้สบายขึ้น และสามารถพับเก็บได้ในทุกรุ่นย่อย กระจกมองหลังปรับลดแสงอัตโนมัติพร้อมบอกทิศทางการเคลื่อนที่เมื่อยามต้องเข้าไปลุยในป่า
มาตรวัดแบบ 3 มิติแตกต่างกว่าใคร แสดงผลการทำงานต่างๆ ของรถได้ชัดเจน เช่น คำเตือนต่างๆ, ระยะทางรวม, ระยะทางเตือนการตรวจเช็ค 2 ทริป A และ B, อัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันเฉลี่ย, ความเร็วเฉลี่ย, ระยะทางที่วิ่งได้จากน้ำมันคงเหลือ, การตั้งค่าทำงานระบบต่างๆ, แสดงการทำงานของระบบควบคุมความเร็ว (Cruise control) ฯลฯ
นิสสัน นาวาร่า เอ็นพี300 มีลูกเล่นในส่วนของระบบขับเคลื่อนที่มากขึ้น เช่น ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HSA (เฉพาะรุ่น 4WD), ระบบควมคุมความเร็วเมื่อขับลงทางลาดชัน HDC (เมื่ออยู่ในโหมดขับเคลื่อน 4 ล้อ)
นิสสัน นาวาร่า เอ็นพี300 มาพร้อมเครื่องยนต์แรงสุดในพิกัด 2.5 ลิตร เป็นแบบดีเซลคอมมอนแรล ควบคุมด้วย ECCS 32 บิท รหัส YD25DDTi 4 สูบ 16 วาล์ว DOHC เทอร์โบแปรผัน VGS 2,488 ซีซี 190 แรงม้าที่ 3,600 รอบ/นาที แรงบิด 450 นิวตันเมตรที่ 2,000 รอบ/นาที ระบบเกียร์อัตโนมัติ 7 จังหวะ พร้อมโหมดสปอร์ตที่เปลี่ยนเองได้ที่คันเกียร์ สามารถปรับเลือกระบบขับเคลื่อนแบบ 2 ล้อ และ 4 ล้อ H หรือ L ได้ด้วยสวิตช์ปรับหมุน และทำงานด้วยระบบไฟฟ้าที่ความเร็วไม่เกิน 100 กม./ชม. (Shift-on-the-fly) พร้อมระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางชัน HSA/HDC ระบบ ป้องกันล้อหมุนฟรี TCS, ควบคุมการทรงตัว VDC, ลิมิเต็ดสลิปแบบ ABLS-Active Brake Limited Slip, ช่วงล่างด้านหน้าอิสระปีกนกคู่ พร้อมคอยล์สปริง และเหล็กกันโคลง ด้านหลังแหนบซ้อนพร้อมโช้กอัพ ระบบเบรกหน้าดิสก์เบรกแบบมีช่องระบายความร้อน เบรกหลังดรัมพร้อมระบบ ABS/EBD ความจุถังน้ำมัน 80 ลิตร ผ่านมาตรฐานไอเสีย ยูโร 4 ล้อแม็กขนาด 18 นิ้ว ยาง 255/60R18
นิสสัน นาวาร่า เอ็นพี300 ใช้เครื่องยนต์พัฒนาใหม่ทำให้มีกำลังสูงสุดถึง 190 แรงม้า ในความจุเพียง 2.5 ลิตร จากการทดสอบอัตราเร่งโดยการออกตัวอย่างรวดเร็ว ซึ่งอัตราเร่งของนาวาร่าใหม่นับว่าดุดันและรวดเร็วทันใจมาก แม้เป็นเกียร์อัตโนมัติก็ตาม จังหวะในการออกตัวอย่างรุนแรงนั้นจะถูกลดทอนกำลังไปบางส่วน เนื่องจากมีระบบป้องกันล้อหมุนฟรี TCS จึงทำให้ช่วงออกตัวที่เกียร์ 1 สั้นไปสักหน่อยก็ถูกเปลี่ยนเป็นเกียร์ 2 แล้ว แต่ก็ทำให้ควบคุมรถได้แม่นยำปลอดภัยมากขึ้น และเมื่อลองปิดระบบ TCS ปรากฏว่าเมื่อออกตัวแรงๆ นั้นล้อหลังหมุนฟรี และรถมีอาการท้ายปัดเล็กน้อย ต้องแก้อาการปัดไป-มาบ้าง แต่ก็สามารถควบคุมรถได้ไม่ลำบากนัก ในช่วงไต่ระดับความเร็วจาก 80 กม./ชม. ที่เกียร์ 7 นั้น เราเพียงไล่น้ำหนักคันเร่งลงไปอัตราเร่งจะตอบสนองทันที พร้อมกับความเร็วที่เพิ่มอย่างรวดเร็ว หากต้องการอัตราเร่งแซงที่มากกว่านี้ก็แค่กดคันเร่งคิกดาวน์ ระบบเกียร์จะปรับลดลงมาตามความเร็วที่เหมาะสม และรอบเครื่องยนต์จะตวัดขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยได้ทดสอบจากความเร็ว 80 กม./ชม. ลากขึ้นไปที่ประมาณ 120 กม./ชม. ใช้เวลาเพียง 7 - 8 วินาที
อัตราเร่งของนิสสัน นาวาร่า เอ็นพี300 นับว่าจัดจ้านมาก เริ่มทดสอบจาก 0 - 100 กม./ชม. ใช้เวลาเพียง 11 วินาทีกว่าๆ เท่านั้น โดยใส่ตำแหน่งเกียร์ D ในแบบขับเคลื่อน 2 ล้อและเปิดแอร์ปกติ นับว่าแรงเทียบเคียงหรืออาจแรงกว่าเครื่องในพิกัด 3.0 ลิตรบางรุ่นด้วยซ้ำ ส่วนการทดสอบโหมดขับเคลื่อน 4 ล้อก็ใช้เวลาประมาณ 11 วินาทีปลายๆ นับว่าไม่ต่างกันมากนักสำหรับความเร็วรอบเครื่องยนต์ที่ความเร็ว 80 กม./ชม. ประมาณ 1,600 รอบ/นาที, ที่ความเร็ว 100 กม./ชม. อยู่ที่ 1,800 รอบ/นาที และที่ความเร็ว 120 กม./ชม. อยู่ที่ 2,250 รอบ/นาที นับว่าไม่สูงมากและทำให้ประหยัดน้ำมันได้มากขึ้น
ที่ความเร็ว 80 กม./ชม. อยู่ที่ 1,600 รอบ/นาที
ที่ความเร็ว 100 กม./ชม. อยู่ที่ 1,800 รอบ/นาที
ที่ความเร็ว 120 กม./ชม. อยู่ที่ 2,250 รอบ/นาที นาวาร่า เอ็นพี300 ใหม่ นับว่าปรับระบบช่วงล่างได้ดีมาก โดยเมื่อขับผ่านลูกระนาดในความเร็วที่เหมาะสม ช่วงยุบของโช้กด้านหน้าให้ความนุ่มนวล และดีดตัวขึ้นอย่างนิ่มๆ ในขณะที่ส่วนท้ายนั้นจากที่คาดว่าต้องกระเด้งมากตามแบบช่วงล่างแบบแหนบ แต่กลับให้ความนุ่มนวลในระดับน่าพอใจครับ นาวาร่าใหม่ถูกปรับความนุ่มนวลให้เข้ากับการใช้งานของผู้บริโภคเมืองไทยได้เหมาะสมมากขึ้น และเมื่อเพิ่มความเร็วขึ้นเล็กน้อยผ่านเนินสูงๆ ความกระเทือนก็ไม่เพิ่มขึ้นมากนักอยู่ในระดับที่รับได้ แต่หากขับผ่านช่วงคอสะพานข้ามคลองเล็กๆ บนถนนประดิษฐ์มนูธรรมในความเร็วเกิน 80 กม./ชม. ก็มีอาการท้ายดีดบ้างเล็กน้อย ส่วนการเกาะถนนเวลาเข้าโค้งที่ได้ทดสอบ ใช้ความเร็วประมาณ 90 - 100 กม./ชม. ในช่วงโค้งขวายาวๆ ก่อนทางเข้าสนามบินสุวรรณภูมิก็นับว่าไปแบบนิ่มๆ เหมือนรถเก๋งซีดานขนาดใหญ่ และมีอาการกระเด้งกระดอนที่นับว่าน้อยมากเมื่อผ่านรอยต่อของถนนครับ
สำหรับการทดลองใช้ระบบขับเคลื่อนในโหมดต่างๆ ของนาวาร่า เอ็นพี300 จากการขับระบบขับเคลื่อนแบบ 2 ล้อ เมื่อลองหมุนสวิตช์ที่ใต้ชุดควบคุมแอร์ตรงคอนโซลหน้าไปตำแหน่ง 4H เป็นระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ จะรู้สึกถึงความหน่วงของพวงมาลัยนั่นแสดงว่าล้อหน้าเริ่มขับเคลื่อนแล้ว แต่การเปลี่ยนระบบนี้จะต้องขับความเร็วไม่เกิน 100 กม./ชม. ซึ่งในวันทดสอบขับอยู่ที่ประมาณ 60 กม./ชม. เมื่อขับผ่านโค้งที่ความเร็วสูงๆ พอจับความรู้สึกได้ว่าพวงมาลัยหนักขึ้นเล็กน้อย และเมื่อปรับกลับเป็นโหมดขับเคลื่อน 2 ล้อ รถก็ไม่มีอาการสะดุดเลยแม้แต่น้อย มีเพียงน้ำหนักความหน่วงของพวงมาลัยที่หายไปเท่านั้นครับ
ในโหมดแบบ 4L นั้นจะรู้ทันที่ว่าอัตราทดหรือระบบเกียร์ทำงานแตกต่างกัน ซึ่งระบบนี้จะเน้นการปีนไต่ทางลาดชันหรือเน้นเพื่อขับผ่านอุปสรรคที่โหดๆ ได้ดียิ่งขึ้น ข้อควรสังเกตในขณะที่ปรับเป็นระบบขับเคลื่อน 4 ล้อนั้น เมื่อหักเลี้ยวพวงมาลัยมากๆ เพื่อกลับรถหรือหลบหลีกสิ่งกีดขวางต่างๆ จะรู้สึกถึงอาการดึงหน่วงๆ จากล้อหน้าและจะพยายามขืนพวงมาลัยให้ตรงตลอดเวลาจากแรงขับเคลื่อนที่ล้อคู่หน้า ดังนั้นหากเริ่มรู้สึกความเร็วลดลงจากการเลี้ยวมากๆ ให้คืนรอบพวงมาลัยเพื่อให้ล้อคู่หน้ามีมุมตรงมากที่สุดครับ (ควรศึกษาการใช้ระบบขับเคลื่อน 4 ล้ออย่างละเอียดเพื่อการใช้งานที่มีประสิทธิภาพสูงสุด)
มาถึงระบบที่แสนจะไฮเทคนั่นคือ ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HSA-Hill Start Assist เมื่อขับขึ้นทางชันแล้วเบรกค้างเอาไว้โดยเกียร์ต้องอยู่ในตำแหน่ง D เมื่อปล่อยเบรกระบบจะช่วยเบรกค้างให้เป็นเวลา 3 วินาที เพียงพอที่เราจะขยับเท้าไปเหยียบคันเร่งและออกรถต่อไปโดยไม่ไหลถอยหลัง ส่วนระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน HDC-Hill Descent Control เป็นการช่วยเบรกขณะลงทางชัน นอกจากใช้ความหน่วงจากเครื่องยนต์แล้ว (engine brake) ยังมีเซ็นเซอร์ตรวจจับความเร็วที่เหมาะสมกับความชันเพื่อให้รถไม่ไหลลงเร็วเกินไป ทำให้ควบคุมได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งระบบนี้จะต้องปรับไปที่โหมดขับเคลื่อน 4 ล้อ จากการทดสอบสามารถปล่อยทั้งคันเร่งและเบรกได้เลย ควบคุมเพียงพวงมาลัยเท่านั้น รถจะค่อยไหลช้าๆ และเมื่อความเร็วเพิ่มขึ้นเกินกำหนดล้อแต่ละข้างจะเบรกเพื่อชะลอความเร็วให้เหมาะสม นับเป็นความปลอดภัยที่เกินปิคอัพจริงๆ ครับ
สาดเบาๆ แบบโหมด 4X4 Hi ในวันทดสอบนิสสัน นาวาร่า เอ็นพี300 จากการเติมน้ำมันเต็มถังไป - กลับกรุงเทพฯ - อ่างเก็บน้ำห้วยปรือ จ.นครนายก สภาพการจราจรในเขตกรุงเทพฯ รถหนาแน่น และบางเส้นทางในตัวเมืองชั้นในติดขัด แต่เมื่อออกชานเมืองการจราจรเริ่มคล่องตัว ในบางช่วงสามารถทดสอบอัตราเร่งได้ แต่ก็มีการจราจรหนาแน่นสลับกันไป ใช้น้ำมันไป-กลับรวมระยะทางทั้งหมด 369.6 กม.เพียงครึ่งถังเท่านั้น โดยตัวเลขเฉลี่ยบนมาตรวัดตลอดทริปอยู่ที่ 9.4 กม./ลิตร นับว่าประหยัดพอตัวกับสไตล์การขับแบบ "ดุดัน" โดยในบางช่วงใช้อัตราเร่งแซงตลอดทาง เรียกว่าบูสต์เทอร์โบมาตลอดไม่หยุด และนับว่าอยู่ในเกณฑ์ประหยัดในกลุ่มหัวแถวของพิกัด 2.5 ลิตร แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือ กำลังของเครื่องยนต์ที่สามารถเรียกแรงบิดได้ตลอดเวลา การเร่งแซงทั้งแบบคิกดาวน์ หรือไล่น้ำหนักคันเร่งก็เป็นไปอย่างรวดเร็วทันใจ จนลืมนึกถึงความประหยัดไปในทันที เพราะยิ่งเหยียบยิ่งมันจริงๆ ครับ ส่วนอัตราสิ้นเปลืองที่ทำได้ดีในระหว่างการทดสอบอยู่ที่ 12.7 กม./ลิตร ซึ่งเป็นช่วงทางโล่ง 5-6 กม.และแช่ที่ความเร็วประมาณ 120 - 140 กม./ลิตร
ระยะทางทั้งหมด 369.6 กม. เหลือน้ำมันครึ่งถัง
อัตราเฉลี่ย 9.4 กม./ลิตร ประหยัดเกาะกลุ่มรถระดับเดียวกันแม้ขับแบบดุเดือด ระหว่างขับทดสอบบางช่วงได้อัตราเฉลี่ยที่ 12.7 กม./ลิตร นิสสัน นาวาร่า เอ็นพี300 ใหม่ นับว่าลบภาพปิคอัพยุคเดิมๆ ทิ้งโดยสิ้นเชิง เพราะอุปกรณ์อำนวยความสะดวกในรุ่นท็อปสุดมีให้อย่างเหลือเฟือ (ส่วนรุ่นรองลงมาออปชั่นที่มีก็นับว่าเพียงพอแล้ว) ซึ่งเทียบเท่ารถซีดานระดับหรู ตั้งแต่พวงมาลัยที่ใช้รูปแบบเดียวกับรุ่นเทียน่า พร้อมปุ่มควบคุมเครื่องเสียง, โทรศัพท์ และ Cruise Control ภายในตกแต่งสีดำสลับเงิน ระบบแอร์อัตโนมัติ ส่วนเบาะนั่งคนขับปรับไฟฟ้าพร้อมแผ่นดันหลัง กระจกมองหลังปรับแสงอัตโนมัติ และระบบเข็มทิศแบบตัวอักษร เรียกว่าให้ครบเลยทีเดียวครับ
มุมมองเมื่ออยู่ตำแหน่งคนขับสามารถมองเห็นด้านหน้าได้กว้างและสูง ซึ่งหากต้องการมองเห็นฝากระโปรงหน้าตามความถนัดก็เพียงปรับเบาะให้สูงขึ้น ส่วนกระจกมองข้างซ้าย-ขวาขนาดใหญ่มองเห็นชัดเจน ทางด้านหลังก็สามารถเห็นได้กว้างและมองได้ชัดทั้งมุมหลังซ้าย-ขวา แต่โดยรวมแล้วนาวาร่านั้นมีความสูงพอสมควร ในบางมุมสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวรถมากๆ อาจมองได้ลำบาก จึงต้องสังเกตสิ่งกีดขวางให้ดีก่อนจะขับเดินหน้าหรือถอยหลังเเพื่อความปลอดภัยนะครับ
นิสสัน นาวาร่า เอ็นพี300 ใหม่ แม้เป็นปิคอัพ แต่เมื่อเข้ามานั่งภายในกลับรู้สึกว่าเหมือนอยู่ในรถซีดานสุดหรู พวงมาลัยไซส์ไม่ใหญ่จับถนัดมือให้ความรู้สึกเหมือนกำลังขับรถเก๋ง ปุ่มต่างๆ ใช้งานง่ายโดยเฉพาะเนวิเกเตอร์นั้นใช้ง่ายมากๆ ไม่สับสนและการบอกด้วยเสียงก็ไม่น่ารำคาญ แม้จะไม่เลี้ยวตามที่กำหนดระบบก็จะคำนวนเส้นทางใหม่ให้ทันที การตอบสนองของเครื่องยนต์สั่งได้ตามน้ำหนักเท้า และยังแอบได้เสียงเทอร์โบแผ่วๆ ทั้งเวลาเร่งและถอนคันเร่ง พร้อมความสะดวกสบายจากเบาะนั่งที่นุ่มนวลรับได้ทุกสัดส่วน สิ่งอำนวยความสะดวกก็มีมากมาย ระบบช่วงล่างที่ปรับได้นุ่มนวลมากขึ้นลดความกระด้างลงได้มาก
แผงมาตรวัดสวยงามยามกลางคืน เทอร์โบแปรผันขนาดกำลังดี ไม่รอรอบแรงบิดมาต่อเนื่อง นิสสัน นาวาร่า ใหม่ ในรุ่นย่อย "V" ขึ้นไป คุณจะได้แอร์อัตโนมัติแยกปรับความเย็นซ้าย-ขวาได้ แถมด้วยช่องแอร์ตอนหลังในทุกรุ่นย่อย สามารถสร้างความเย็นฉ่ำได้ในพริบตาแม้จอดตากแดดแรงๆ เป็นเวลานาน เพียงแค่นี้ก็นับว่าเกินคุ้มแล้วครับ
มีช่องแอร์ด้านหลังมาให้ทุกรุ่นย่อย เรื่องการเก็บเสียงนับว่าอยู่ในเกณฑ์ดีกว่ารถระดับเดียวกันบางรุ่น แต่ก็ยังมีเสียงลมที่ปะทะรอบๆ ตัวรถ และเสียงของยางสไตล์ออฟโรดที่ลอดเข้ามาเมื่อใช้ความเร็วตั้งแต่ 100 กม./ชม.ขึ้นไป เสียงเครื่องยนต์ที่แอบได้ยินเบาๆ พอจะรับรู้ถึง "บูสต์" จากเทอร์โบที่ปั่นเข้าเครื่อง และเสียง "ซ่า" เบาๆ เมื่อถอนคันเร่ง
อุปกรณ์เพื่อความบันเทิง
นิสสัน นาวาร่า เอ็นพี300 ใหม่ มาพร้อมความบันเทิงครบถ้วนด้วยเครื่องเสียงค่ายดังตัวท็อปๆ จาก KENWOOD ระบบจอสัมผัสขนาด 7 นิ้ว เล่นได้ทั้ง MP3/DVD/USB/Bluetooth/FM/AM/AUX ลำโพง 6 จุด ระบบเนวิเกเตอร์ที่ใช้งานแสนง่าย และยังมีภาพจากกล้องมองหลังเมื่อเข้าเกียร์ถอย และเชื่อมต่อระบบโทรศัพท์ที่สามารถควบคุมการโทรออก-รับสายได้บนพวงมาลัย เพิ่มความปลอดภัยมากขึ้น
ความสวยงาม
นิสสัน นาวาร่า เอ็นพี300 ใหม่ โดดเด่นทุกมุมมองเพราะออกแบบใหม่หมดหัวจรดท้าย โดยเฉพาะโคมไฟหน้าที่มองเห็นไฟ LED daytiming มาแต่ไกล แรคหลังคาดูบึกบึน กันชนแบบโครเมียมเงางาม และซุ้มล้อขนาดใหญ่ดูสมสัดส่วนรับกับล้อไซส์โต ยิ่งส่วนของสปอยเลอร์ท้ายที่ฝาปิดกระบะยิ่งดูสปอร์ตมากขึ้น
นิสสัน นาวาร่า เอ็นพี300 มีระบบความปลอดภัยครบครันตั้งแต่ถุงลมนิรภัยคู่หน้า เบรก ABS พร้อมระบบกระจายแรงเบรก EBD และเสริมแรงด้วย BA ระบบลิมิเต็ดสลิป ABLS ระบบควบคุมการทรงตัว VDC ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HSA และควบคุมความเร็วขณะลงทางชัน HDC ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี TCS โครงสร้างตัวถังเหล็กกล้า Fully Boxed Ladder Frame แข็งแรง พร้อมกล้องมองภาพขณะถอยหลังเพื่อความปลอดภัยสูงสุด
ความคุ้มค่าเมื่อเทียบกับราคา
นิสสัน นาวาร่า เอ็นพี300 ใหม่ ล้ำหน้ากว่าคำว่า "ปิคอัพ" โดดเด่นทุกฟังก์ชั่นรูปทรงและตัวถังที่แกร่ง เครื่องยนต์ดีเซล
คอมมอนแรล 2.5 ลิตร ที่ให้กำลังสูงสุด 190 แรงม้า ผ่านเกียร์อัตโนมัติที่มากถึง 7 จังหวะ และนุ่มนวลด้วยช่วงล่างที่ขับสบายในเมือง หรือลุยแบบดิบๆ ได้ในป่า และระบบปรับการขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าจาก 2 ล้อไป 4 ล้อเพียงปรับปุ่ม ภายในยิ่งหรูหราเกินปิคอัพกับออปชั่นที่มีให้ครบครันจนกล้าบอกได้ว่า Nissan Navara NP300 เป็น Premium Pick-up ก็ย่อมได้ และสามารถเป็นเจ้าของรุ่นท็อปสุดได้ในราคาเพียง 1,043,500 บาท