คุณขับรถประหยัดน้ำมันถูกวิธีแล้วหรือยัง?
การขับรถให้ประหยัดน้ำมันมีหลากหลายวิธีที่จะทำได้ ทั้งการใช้ความเร็วที่เหมาะสมไม่เร็วเกินไปหรือช้าเกินไป ขับไม่เกิน 90 กม./ชม. การขนสัมภาระเท่าที่จำเป็น หรือการเลือกใช้น้ำมันเชื้อเพลิงให้เหมาะสมกับรถ แต่ก็ยังมีอีกหลายพฤติกรรมที่หลายๆ คนอาจยังเข้าใจผิดเกี่ยวกับการขับรถยนต์ให้ประหยัดน้ำมัน
โดยทั่วไปคนมักคิดว่า วิธีการที่ใช้ขับให้ประหยัดกันอยู่นั้นถูกต้องและช่วยให้ประหยัดน้ำมันมากอยู่แล้ว แต่ก็มีผลสำรวจทางด้านเทคนิคในการขับขี่ที่ช่วยประหยัดน้ำมันที่ผู้ขับขี่ชาวไทยไม่รู้...
- มากกว่า 3 ใน 4 ของผู้ขับขี่ชาวไทยไม่รู้วิธีการใช้จีพีเอสเพื่อค้นหาเส้นทางการขับรถที่รวดเร็วที่สุดก่อนออกเดินทาง
- ร้อยละ 79 ของผู้ขับขี่ชาวไทย ไม่รู้ว่าการใช้ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติสามารถช่วยประหยัดน้ำมันได้
- การสำรวจความเข้าใจด้านการประหยัดน้ำมันของฟอร์ด ครอบคลุมผู้ขับขี่กว่า 9,500 คนใน 11 ตลาดทั่วเอเชียแปซิฟิก โดยมีผู้ขับขี่ชาวไทยร่วมตอบแบบสอบถาม 1,026 คน
ผู้ขับขี่ชาวไทยกล่าวว่าพวกเขามั่นใจในทักษะการขับขี่และมีความรู้เกี่ยวกับ "การขับขี่ที่ดี" แต่เมื่อถามถึงเทคนิคการขับขี่ที่ช่วยให้ประหยัดน้ำมัน ผู้ขับขี่ชาวไทยส่วนใหญ่ยังคงมีความเข้าใจผิด
จากผลสำรวจล่าสุดด้านการประหยัดน้ำมันของฟอร์ด มอเตอร์ คัมปะนี ผู้ขับขี่ชาวไทยจำนวน 1,026 คนได้ร่วมตอบแบบสอบถามเกี่ยวกับนิสัยการขับขี่และความรู้เกี่ยวกับการประหยัดน้ำมัน ร้อยละ 93 ของผู้ขับขี่ชาวไทยกล่าวว่าพวกเขารู้ว่าต้องขับรถอย่างไรให้ประหยัดน้ำมันสูงสุด และร้อยละ 97 กล่าวว่าพวกเขาพยายามขับรถอย่างประหยัดน้ำมันทุกวัน
มร. เคลวิน ทาลิโอ หัวหน้าวิศวกร ด้านวิศวกรรมเครื่องยนต์ ฟอร์ด เอเชีย แฟซิฟิก กล่าวว่า "เมื่อพูดถึงการประหยัดน้ำมัน สิ่งที่เราคิดว่าเรารู้กับสิ่งที่เรารู้จริงๆ นั้นมักจะแตกต่างกัน เห็นได้จากผลสำรวจของเราที่แสดงให้เห็นว่าคนส่วนใหญ่ไม่รู้ถึงประโยชน์ของจีพีเอส หรือระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติที่สามารถช่วยประหยัดน้ำมันได้"
ร้อยละ 37 ของผู้ขับขี่ไม่รู้ว่า การเร่งเครื่องและเบรกกะทันหันสามารถส่งผลกระทบกับอัตราสิ้นเปลืองน้ำมัน
ข้อเท็จจริง: การขับขี่รถอย่างกระชาก เช่น การเร่งเรื่องและเบรกกะทันหัน เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้สิ้นเปลืองน้ำมัน
ร้อยละ 79 ของผู้ขับขี่ไม่รู้ว่า ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติสามารถช่วยประหยัดน้ำมันได้
ข้อเท็จจริง: ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติเป็นอาวุธลับของรถรุ่นใหม่ที่ใช้สู้กับอัตราสิ้นเปลืองน้ำมัน การรักษาระดับความเร็วให้คงที่ แปลว่าคุณไม่ต้องเสียน้ำมันไปกับการเบรกและเร่งเครื่องโดยไม่จำเป็น นอกจากนี้ ยังช่วยให้ผู้ขับขี่ไม่ขับรถเร็วเกินตามที่กฎหมายกำหนดอีกด้วย
มากกว่า 3 ใน 4 ไม่รู้วิธีการใช้จีพีเอส เพื่อค้นหาเส้นทางการขับรถที่รวดเร็วที่สุด
ข้อเท็จจริง: ทุกคนต่างรู้อยู่แล้วว่ายิ่งขับรถนานเท่าไร คุณก็จะใช้น้ำมันมากขึ้นเท่านั้น แต่คุณสามารถประหยัดทั้งเงินและเวลาได้มากขึ้นหากตรวจสอบเส้นทางการเดินทางของคุณล่วงหน้าบนระบบจีพีเอสเพื่อเลือกเส้นทางขับรถที่รวดเร็วที่สุด
มากกว่าครึ่ง (ร้อยละ 51) ไม่รู้ว่าการขับขี่บนพื้นที่ลาดชันจะส่งผลกระทบต่ออัตราสิ้นเปลืองน้ำมัน
ข้อเท็จจริง: การขับระยะทางไกลบนภูเขาจะใช้น้ำมันมากกว่าการขับบนพื้นราบและบนถนนเส้นตรง การขับขึ้นเขาใช้น้ำมันมากกว่าเนื่องจากรถยนต์จำเป็นต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อสู้กับแรงโน้มถ่วง
ผู้ตอบแบบสอบถามจำนวนมาก ไม่รู้ว่าอากาศเย็น (ร้อยละ 86) และอากาศร้อน (ร้อยละ 58) ส่งผลกระทบต่ออัตราสิ้นเปลืองน้ำมัน
ข้อเท็จจริง: อากาศเย็นทำให้รถของคุณสิ้นเปลืองน้ำมันมากยิ่งขึ้น เนื่องจากต้องใช้เวลานานขึ้นกว่าจะทำให้เครื่องยนต์มีอุณหภูมิสูงขึ้นจนทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ ดังนั้นคุณอาจต้องคิดให้ดี หากวางแผนไปเที่ยวในช่วงฤดูหนาว แต่หากต้องขับรถในสภาพอากาศที่ร้อนกว่า ให้พิจารณาว่าเมื่อใดควรใช้ระบบปรับอากาศในรถยนต์ เมื่อขับรถด้วยความเร็วสูงขึ้น รถจะเกิดแรงต้านอากาศมากขึ้นและส่งผลกระทบโดยตรงต่ออัตราการประหยัดน้ำมัน ดังนั้น เมื่อใช้ระดับความเร็วบนทางหลวง ควรปิดกระจกและใช้ระบบปรับอากาศเพื่อลดแรงต้านอากาศ หรือขับขี่ด้วยความเร็วต่ำเมื่อลดกระจกรถลง
เพียงร้อยละ 52 จากผู้ทำแบบสำรวจรู้ว่าการกำจัดสัมภาระและของจุกจิกต่างๆ ที่ไม่จำเป็นออกจากรถ ช่วยประหยัดน้ำมัน
ข้อเท็จจริง: น้ำหนักส่วนเกินบนรถส่งผลอย่างมากต่ออัตราการสิ้นเปลืองน้ำมัน น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นประมาณ 20 กิโลกรัมจะลดอัตราการประหยัดน้ำมันราวร้อยละ 1 ดังนั้น พยายามขนของไปทริปครั้งต่อไปเท่าที่จำเป็น
ร้อยละ 67 ไม่รู้ว่าการเปลื่ยนยางเป็นแบบสปอร์ตหรือการเปลี่ยนชุดแต่งรถสามารถส่งผลกระทบต่ออัตราสิ้นเปลืองน้ำมัน
ข้อเท็จจริง การพยายามเปลี่ยนรถของคุณให้โฉบเฉี่ยวตามภาพยนตร์ Fast and Furious อาจทำให้คุณดูเท่บนท้องถนน แต่มันเพิ่มแรงต้านการหมุนของล้อและเพิ่มแรงต้านทานอากาศซึ่งทำให้รถสิ้นเปลืองน้ำมันมากขึ้น
ร้อยละ 36 ไม่รู้ว่าการนำรถเข้าตรวจเช็คเป็นประจำสามารถช่วยประหยัดน้ำมันได้ และ 1 ใน 3 ไม่ทราบว่าการตรวจเช็คลมยางเป็นประจำสามารถช่วยประหยัดน้ำมันได้
ข้อเท็จจริง: การนำรถเข้าตรวจเช็คเป็นประจำและเติมลมอย่างถูกต้อง เป็นความรู้พื้นฐานที่หลายๆ คนลืมกันง่ายๆ ซึ่งจะช่วยให้คุณประหยัดค่าน้ำมันได้
แม้ว่าผู้ขับขี่ชาวไทยส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับการเลือกซื้อยานพาหนะแบบประหยัดน้ำมันเพื่อช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย แต่นิสัยการขับขี่ที่ดีต่างหาก คือวิธีดีที่สุดสำหรับการประหยัดน้ำมันและเงินในกระเป๋า
"การเลือกรถยนต์แบบประหยัดน้ำมันเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่สุดสำหรับการประหยัดน้ำมัน แต่หากเป้าหมายของคุณคือการประหยัดเงินและเดินทางได้ไกลขึ้น นิสัยการขับขี่ที่ดีจะช่วยให้คุณเห็นความแตกต่างอย่างชัดเจน" มร. ทาลิโอ ผู้ทำงานพัฒนาเครื่องยนต์อีโคบูสต์ ขนาด 1.0 ลิตรของฟอร์ดที่คว้ารางวัลระดับโลกมาแล้วมากมาย กล่าว
เทคโนโลยีอีโคบูสต์คือ หัวใจหลักของฟอร์ดในการพยายามพัฒนาเครื่องยนต์ที่ช่วยประหยัดน้ำมันมากยิ่งขึ้น โดยใช้ระบบเทอร์โบชาร์จ ระบบวาล์วแปรผัน (variable-valve timing) และระบบไดเร็ค อินเจ็คชั่น (direct fuel injection) พร้อมทั้งลดขนาดความจุเครื่องยนต์เพื่อให้เครื่องยนต์ประหยัดน้ำมันมากขึ้นและปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์น้อยลง แต่คงสมรรถนะเทียบเท่าเครื่องยนต์ที่มีขนาดความจุใหญ่กว่าโดยไม่สูญเสียสมรรถนะของรถยนต์ไป เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค ฟอร์ดได้นำเครื่องยนต์อีโคบูสต์มาติดตั้งในรถยนต์หลายๆ รุ่น เพื่อช่วยให้ผู้บริโภคมีส่วนร่วมในการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้น้อยลง ในประเทศไทย เครื่องยนต์อีโคบูสต์ ติดตั้งอยู่ในฟอร์ด โฟกัส ใหม่
นอกจากนี้การใช้ความเร็วที่เหมาะสมกับสภาพการจราจรก็ช่วยให้ประหยัดและยังปลอดภัยมากขึ้น การไม่ขับแช่เลนขวาหากใช้ความเร็วต่ำกว่ารถอื่น และอย่าลืมเปิดไฟเลี้ยวทุกครั้งที่ต้องการเลี้ยวหรือเปลี่ยนช่องทาง เพื่อให้รถคันอื่นๆ ที่ตามหลังมาสามารถชะลอความเร็วโดยไม่ต้องเบรกแรงๆ และเร่งเครื่องยนต์มากเกินจำเป็น นอกจากจะปลอดภัยแล้วยังช่วยให้ผู้อื่นประหยัดน้ำมันได้อีกด้วย
เกี่ยวกับการสำรวจของฟอร์ด
แบบสำรวจออนไลน์ครั้งนี้จัดทำขึ้นโดย GlobalWebIndex ในนามของบริษัท ฟอร์ด มอเตอร์ คัมปะนี โดยมีผู้บริโภคร่วมตอบแบบสอบถามจำนวน 9,509 คนใน 11 ประเทศ ได้แก่ ประเทศออสเตรเลีย (1,026 คน) จีน (1,011 คน) ฮ่องกง (784 คน) อินเดีย (1,023 คน) มาเลเซีย (786 คน) นิวซีแวนด์ (774 คน) ฟิลิปปินส์ (783 คน) เกาหลีใต้ (760 คน) ไต้หวัน (762 คน) ไทย (1,026 คน) และเวียดนาม (774 คน)