ข้อควรรู้ ก่อนโดนไฟแนนซ์ยึดรถ
จากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของไทยในปัจจุบัน ที่เราอยู่ในยุคไข่ฟองละ 5 บาท และข้าวแกงจานละ 50 อาจทำให้ใครหลายๆ คน มีรายรับไม่สมดุลกับรายจ่าย และส่งผลกระทบอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่กำลังผ่อนส่งค่างวดให้กับไฟแนนซ์ บางคนอาจจะต้องจำใจปล่อยให้เจ้าหน้าที่ยึดรถสุดที่รักไป แต่ก็มีหลายครั้งที่เกิดความเข้าใจผิดกันระหว่างผู้เช่าซื้อและไฟแนนซ์ คือ ทางไฟแนนซ์ส่งเจ้าหน้าที่มายึดรถ แต่ไม่มีหนังสือหรือบอกกล่าวมาถึงผู้เช่าซื้อ ทำให้เกิดความเข้าใจผิดว่าเป็นการลักทรัพย์บ้าง หรือเกิดความข้องใจในขั้นตอนปฏิบัติทางกฎหมายของไฟแนนซ์บ้าง ดังนั้นเพื่อประโยชน์ของคุณผู้อ่านทุกท่าน ทาง CheckRaka.com จึงขอนำเสนอสาระสำคัญของขั้นตอนการยึดรถตามหลักเกณฑ์ที่ถูกต้องในเมืองไทย (
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ในประมวลกฎหมายแพ่งพาณิชย์ และ
ประกาศคณะกรรมการว่าด้วยสัญญา) มาให้พวกเราได้ทราบเป็นความรู้ และป้องกันการยึดรถที่ไม่ถูกต้องกันค่ะ ต้องเลิกสัญญากันก่อน
- ก่อนที่ไฟแนนซ์จะยึดรถเราไปได้นั้น สัญญาเช่าซื้อจะต้องถูกยกเลิกก่อน ซึ่งเงื่อนไขของการยกเลิกสัญญาเช่าซื้อคือ ผู้เช่าซื้อจะต้องผิดนัดค้างชำระ 3 งวดติดกัน ต่อจากนั้นไฟแนนซ์จะต้องบอกกล่าวผู้เช่าซื้อให้ชำระเงินรายงวดที่ค้างชำระนั้น ภายในระยะเวลาอย่างน้อย 30 วัน หากผู้เช่าซื้อละเลยไม่ปฏิบัติตาม ไฟแนนซ์จึงจะเลิกสัญญาเช่าซื้อได้โดยการบอกกล่าวเลิกสัญญา ซึ่งการบอกกล่าวเลิกสัญญาจะต้องทำเป็นหนังสือส่งทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับให้แก่ผู้เช่าซื้อตามที่อยู่ที่ระบุไว้ในสัญญา หรือที่อยู่ที่แจ้งการเปลี่ยนแปลงครั้งล่าสุด ถ้าไฟแนนซ์ยังไม่ได้มีหนังสือบอกเลิกสัญญาส่งมายังผู้เช่าซื้อ ถือว่าสัญญายังมีผลอยู่ ไม่สามารถยึดรถได้
- การยึดรถหลังบอกเลิกสัญญาโดยชอบแล้ว ส่วนใหญ่ไฟแนนซ์ไม่ยึดรถด้วยตนเอง เพราะมีความยุ่งยากและกระทบกระเทือนต่อภาพลักษณ์ มักจะจ้างสำนักงานทวงหนี้เป็นผู้ดำเนินการแทน ซึ่งบริษัทรับจ้างยึดรถจะต้องปฏิบัติตามแนวปฏิบัติการในการติดตามทวงหนี้ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ฉบับประกาศวันที่ 3 ส.ค. 2551 ดูรายละเอียดได้ที่นี่) เพื่อไม่ให้ไปล่วงละเมิดสิทธิของผู้เช่าซื้อ
แนวปฏิบัติทั่วไปในการติดตามทวงหนี้ของธนาคารแห่งประเทศไทย
บริษัทรับจ้างยึดรถจะต้องปฏิบัติตามแนวปฏิบัติในการทวงถามหนี้ของธนาคารแห่งประเทศไทย ดังนี้
- เวลาและความถี่ในการติดต่อทวงถามหนี้ ให้ดำเนินการภายในเวลา 08.00-20.00 น. วันจันทร์ถึงวันศุกร์ ส่วนวันหยุดราชการ ให้ดำเนินการภายในเวลา 08.00-18.00 น. โดยมีความถี่ในการติดตามที่เหมาะสม
- การแสดงตัวเพื่อวัตถุประสงค์ในการทวงหนี้นั้นจะต้องแจ้งชื่อและวัตถุประสงค์อย่างถูกต้องเหมาะสม ในกรณีที่เรียกเก็บหนี้กับลูกหนี้โดยตรง ผู้ให้บริการเรียกเก็บหนี้จะต้องแสดงเอกสาร แสดงให้เห็นว่าตนได้รับอนุญาตจากไฟแนนซ์ให้ตามทวงหนี้แทน
- วิธีการเรียกเก็บหนี้จะต้องไม่เรียกเก็บจากบุคคลอื่น เช่น ญาติ เพื่อนร่วมงาน เว้นแต่จะได้รับการยินยอมจากลูกหนี้หรือเป็นสิทธิตามกฎหมาย และต้องไม่ใช้ความรุนแรงกับลูกหนี้ เช่น ทำร้ายร่างกาย ชื่อเสียง หรือทรัพย์สิน เพื่อให้ลูกหนี้ชำระหนี้
- ไม่ปลอมแปลงหรือบิดเบือนข้อมูล หรือแสดงท่าทางอันทำให้ลูกหนี้เข้าใจผิด เช่น ไม่ปลอมแปลงการแสดงตัวใช้สัญลักษณ์ว่ามาจากหน่วยงานของรัฐหรือบริษัทข้อมูลเครดิต ไม่ปลอมแปลง หรือบิดเบือนว่าเอกสารการเรียกชำระหนี้นั้นออกจากหน่วยงานของรัฐหรือบริษัทข้อมูลเครดิต ทำให้เข้าใจผิดในสาระสำคัญทางกฎหมายของเอกสารดังกล่าว หรือไม่ปลอมแปลง บิดเบือน เกี่ยวกับยอดหนี้เกินกว่าที่มีอยู่ตามกฎหมาย หรือแม้แต่การแสดงท่าทางอื่นอันเป็นเท็จเพื่อให้ลูกหนี้เข้าใจผิดในการชำระหนี้
เรามักจะมีภาพทรงจำจากละครหรือทางสื่อต่างๆ ว่า ผู้ที่มาทวงหนี้จะต้องใส่ชุดสีดำสวมหมวกกันน็อค ใช้ปืนข่มขู่ลูกหนี้ให้ชำระหนี้ ถ้าเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นกับตัวเราจริงในการทวงหนี้หรือยึดรถ เราสามารถร้องเรียนได้ที่บริษัทไฟแนนซ์ที่ผู้เช่าซื้อเป็นคู่สัญญาอยู่ หรือหากไม่ได้รับความเป็นธรรมสามารถร้องเรียนได้ที่ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค โทร. 1166 หรือ ศูนย์คุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย โทร. 1213 สำหรับขั้นตอนการยึดรถจากไฟแนนซ์นั้นผู้เช่าซื้อจำเป็นต้องตรวจสอบอย่างละเอียดทุกขั้นตอนเพื่อความเป็นธรรมของเราเอง และถ้าไฟแนนซ์ได้ดำเนินการบอกเลิกสัญญาและยึดรถอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ผู้เช่าซื้อคงจะต้องปล่อยให้ไฟแนนซ์ยึดรถไป
หลังจากที่ไฟแนนซ์ได้ยึดรถไปแล้วนั้น หลายคนคงจะสงสัยว่าจะทำอย่างไรต่อไป CheckRaka.com ได้มีคำแนะนำที่เป็นประโยชน์ให้ผู้เช่าซื้อได้เป็นแนวทางในการปฏิบัติ ซึ่งจะขอกล่าวถึงขั้นตอนของไฟแนนซ์หลังจากที่ยึดรถเราไป และคำแนะนำไปพร้อมๆ กันเลยค่ะ
ขั้นตอนของไฟแนนซ์หลังยึดรถและคำแนะนำสำหรับผู้เช่าซื้อ
- เมื่อยกเลิกสัญญาเช่าซื้อ ไฟแนนซ์มีสิทธิ์เรียกร้องค่าเสียหายหรือค่าสูญเสียหรือบุบสลายที่เป็นความผิดของผู้เช่าซื้อตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
- หลังจากที่ยกเลิกสัญญาเช่าซื้อแล้ว รถก็จะถูกไฟแนนซ์ยึดไปตามขั้นตอนและจะขายทอดตลาด ซึ่งราคาของรถมักจะถูกกว่าราคาที่เราซื้อ ดังนั้นไฟแนนซ์จะมาเรียกเก็บส่วนต่างในขั้นตอนต่อไปจากผู้เช่าซื้อได้
- ไฟแนนซ์จะเรียกเก็บค่าส่วนต่างพร้อมทั้งค่าขาดประโยชน์ ฯลฯ จากผู้เช่าซื้อและหากผู้เช่าซื้อไม่จ่าย ไฟแนนซ์ก็จะฟ้องศาลต่อไป แต่ถ้าหากเราไม่อยากจ่ายค่าส่วนต่างและค่าอื่นๆ ทั้งหลายนี้ วิธีแก้ปัญหาเบื้องต้นคือ เมื่อเรารู้ตัวว่าผ่อนรถไม่ไหว เราควรประกาศขายให้ได้ราคาสูงที่สุด เพื่อให้เหลือจ่ายค่าส่วนต่างน้อยที่สุด หรือติดต่อหาคนที่ต้องการซื้อรถ แล้วขอเปลี่ยนผู้เช่าซื้อในสัญญาเช่าซื้อกับทางไฟแนนซ์ เราจะหมดภาระในการส่งค่างวดและไม่ต้องเสียค่าส่วนต่างใดๆ ซึ่งกรณีนี้แล้วแต่ข้อตกลงของผู้ซื้อ/ผ่อนต่อจากเราว่าต้องจ่ายเงินดาวน์หรือไม่ แต่ถ้าหากเราส่งรถคืนไฟแนนซ์ ไฟแนนซ์จะนำไปประมูลขายได้ราคาต่ำ แล้วจะติดตามฟ้องร้องเราในส่วนที่ขายขาดทุน อย่างที่กล่าวไปแล้วข้างต้น
- แต่ถ้าหากไฟแนนซ์ได้ยึดรถไปเรียบร้อยแล้ว ขายทอดตลาดไปแล้ว ผู้เช่าซื้อมีสิทธิ์ต่อสู้คดีในชั้นศาล โดยแจ้งให้ศาลเห็นว่าค่าเสียหายหรือเบี้ยปรับนั้นสูงเกินไป ในกรณีนี้ผู้เช่าซื้อต้องรอหมายศาลและติดต่อทนายสู้คดีเพื่อลดค่าเสียหาย ซึ่งศาลจะใช้ดุลพินิจลดลงได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 383 ซึ่งโดยปกติศาลอาจจะลดค่าเสียหายลงบ้างในระดับหนึ่ง เช่น ร้อยละ 30 ของทุนทรัพย์ที่ฟ้อง
เมื่อเราทราบวิธีการปฏิบัติหลังถูกยึดรถแล้ว น่าจะทำให้หลายๆ คนสบายใจ และเข้าใจในเรื่องการยึดรถของไฟแนนซ์เพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้เพื่อรักษาความเป็นธรรมให้ตัวเราเอง ไม่ให้เสียทรัพย์เกินกว่าเหตุ และเข้าใจกันและกันมากขึ้นระหว่างไฟแนนซ์กับผู้เช่าซื้อค่ะ