ธนาคารทิสโก้เปิด 5 ทริกเลือกประกันมะเร็งที่คุ้มครองอย่างคุ้มค่า รับ "วันมะเร็งโลก" ชี้เป็นหนึ่งในการวางแผนการเงินเพื่อการเกษียณ ปกป้องความมั่งคั่งไม่ให้หมดไปจากการเจ็บป่วย พร้อมแนะรีบทำตั้งแต่สุขภาพยังแข็งแรงเพื่อป้องกันการปฏิเสธการรับประกัน
นายณัฐกฤติ เหล่าทวีทรัพย์ ผู้อำนวยการอาวุโสที่ปรึกษาการลงทุนทิสโก้เวลธ์ ธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในโอกาสที่ทั่วโลกต่างกลับมาพูดถึงโรคมะเร็งใน "วันมะเร็งโลก" เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ธนาคารทิสโก้จึงขอเป็นส่วนหนึ่งในการส่งเสียงและสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับโรคมะเร็งซึ่งในอดีตมักจะเกิดในคนที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป แต่ปัจจุบันด้วยสภาพสิ่งแวดล้อมรวมถึงพฤติกรรมการใช้ชีวิตเป็นปัจจัยส่งเสริมให้ทุกเพศทุกวัยล้วนแต่มีโอกาสเป็นมะเร็งได้มากขึ้น ที่สำคัญคือเมื่อเป็นแล้วหากจะเข้าถึงการรักษาที่มีคุณภาพจะต้องแลกมาด้วยค่าใช้จ่ายในการรักษาค่อนข้างสูง
โดยข้อมูลจากคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบุว่าค่ารักษาโรคมะเร็งทุกกระบวนการรักษาอยู่ที่ประมาณ 250,000 – 8,500,000 บาท ด้วยค่าใช้จ่ายที่สูงในระดับนี้อาจทำให้เงินเก็บออมและเงินลงทุนที่สะสมมาตลอดชีวิตหมดไปกับการรักษาได้ ดังนั้น แผนการเงินทั้งก่อนและหลังเกษียณควรให้ความสำคัญกับความเสี่ยงดังกล่าว ซึ่งธนาคารทิสโก้แนะนำให้ใช้ประกันโรคร้ายแรง หรือ ประกันมะเร็ง เข้ามาช่วยบริหารจัดการความเสี่ยงที่เกิดขึ้น
"ค่าเบี้ยของประกันมะเร็งเริ่มต้นที่หลักพัน แต่ได้ความคุ้มครองสูงถึงหลักล้าน นับได้ว่ามีความคุ้มค่าที่จะใช้เป็นเครื่องมือปกป้องความมั่งคั่งให้กับตัวเองได้เพราะผู้ที่ทำประกันได้โอนความเสี่ยงเรื่องค่าใช้จ่ายสำหรับการรักษาโรคมะเร็งไปยังบริษัทผู้รับประกันไปเรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้ การพิจารณาเลือกซื้อกรมธรรม์ประกันมะเร็งให้คุ้มค่าและเหมาะสมมากที่สุด จะต้องพิจารณาวางแผนร่วมกับการเลือกซื้อประกันสุขภาพและประกันโรคร้ายแรงอื่นๆ เพื่อที่จะสร้างแผน Wealth Protection ที่มีประสิทธิภาพและครอบคลุมปิดความเสี่ยงที่จะทำให้แผนการเงินไม่เป็นไปตามเป้าหมาย" นายณัฐกฤติกล่าว
ซื้อประกันมะเร็งต้องดูอะไรบ้าง
สำหรับเทคนิคการเลือกประกันมะเร็งที่ให้ความคุ้มครองที่คุ้มค่านั้น แนะนำให้พิจารณาจาก 5 ปัจจัย คือ
ปัจจัยแรก ได้แก่ ช่วงอายุการรับประกัน โดยควรเลือกกรมธรรม์ที่มีช่วงอายุการรับประกันที่สอดคล้องกับอายุของผู้ทำประกันและสามารถขยายระยะเวลาความคุ้มครองได้นานที่สุด เพราะจะช่วยให้เรามีความคุ้มครองต่อโรคมะเร็งได้อย่างยาวนาน โดยไม่ต้องรับความเสี่ยงไว้เอง
ปัจจัยที่สอง ได้แก่ เลือกประกันมะเร็งที่ให้ความคุ้มครองทั้งในรูปแบบเงินก้อน และวงเงินค่ารักษาพยาบาลที่อยู่ในระดับสูง โดยความคุ้มครองที่เป็นเงินก้อน จะได้รับเมื่อแพทย์ตรวจพบว่าเป็นมะเร็ง และ วงเงินค่ารักษาพยาบาลสูงสุดจะคุ้มครองตามที่จ่ายจริงแต่ไม่เกินวงเงินที่กำหนดไว้
ปัจจัยที่สาม ได้แก่ ควรพิจารณาข้อยกเว้นความคุ้มครองให้ถี่ถ้วน เช่น ประเภทของโรคมะเร็งที่กรมธรรม์จะไม่คุ้มครอง นอกจากนี้ ควรพิจารณาระยะเวลารอคอย ซึ่งหมายถึง ช่วงระยะเวลาที่กรมธรรม์จะไม่คุ้มครอง หากตรวจพบหรือทราบอาการของโรคมะเร็งเป็นครั้งแรกหลังจากวันที่กรมธรรม์มีผลบังคับ โดยทั่วไปแล้วพบว่า ระยะเวลารอคอยของประกันมะเร็งจะอยู่ที่ประมาณ 90 วัน
ปัจจัยที่สี่ คือ ค่าชดเชยการรักษาอื่นๆ ซึ่งจะเป็นสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมสำหรับบางกรมธรรม์ เช่น ค่าชดเชยรายได้ ค่าเดินทางไปรักษาตัว ค่าวินิจฉัยตรวจโรคมะเร็งซ้ำ เป็นต้น หากกรมธรรม์ใดมีค่าชดเชยอื่นๆ เพิ่มเติมก็จะยิ่งเพิ่มความคุ้มค่า
ปัจจัยที่ห้า ได้แก่ ความคุ้มค่าของเบี้ยประกันรายปี โดยทั่วไปแล้วประกันสุขภาพส่วนใหญ่จะคิดเบี้ยประกันแปรผันตามอายุ อย่างไรก็ตาม ในกรณีของประกันมะเร็ง สามารถเลือกซื้อประกันมะเร็งที่มีเบี้ยประกันคงที่ตลอดอายุสัญญาได้ ซึ่งมีความคุ้มค่าอย่างมาก เนื่องจากหากเริ่มต้นซื้อตั้งแต่อายุยังน้อยจะช่วยให้จ่ายค่าเบี้ยในแต่ละปีที่ค่อนข้างถูกนอกจากนี้ ควรเปรียบเทียบเบี้ยประกันรายปีของแต่ละกรมธรรม์ที่สนใจ ภายใต้วงเงินความคุ้มครองที่เท่ากันของแต่ละช่วงอายุร่วมปัจจัยอื่นๆ ที่กล่าวมาข้างต้นด้วย