5 สูตรเช็กความแข็งแรงทางการเงินแบบง่าย อัตราส่วนทางการเงิน สูตรคำนวณ Benchmark คำอธิบาย อัตราส่วนแสดงการอยู่รอด (Survival Ratio) รายได้ต่อเดือน / รายจ่ายต่อเดือน >1 มากกว่า 1 แสดงว่ารายได้ปัจจุบันสามารถทำให้อยู่รอดได้ อัตราส่วนสภาพคล่อง (Liquidity Ratio) รายได้ต่อเดือน / รายจ่ายต่อเดือน >1 มากกว่า 1 แสดงว่า มีเงินสดเพียงพอที่จะปิดหนี้ระยะสั้นได้หมดทันที อัตราส่วนสภาพคล่องพื้นฐาน หรือ อัตราส่วนค่าใช้จ่ายประจำวัน (Basic Liquidity Ratio) สินทรัพย์สภาพคล่อง/ค่าใช้จ่ายต่อเดือน 3 - 6 เท่า น้อยกว่า 3 แสดงว่า มีเงินสดสำรองน้อยเกินไป หากเกิดเหตุฉุกเฉินอาจทำให้มีปัญหาทางการเงินได้ อัตราส่วนหนี้สินต่อสินทรัพย์ (Debt to Asset Ratio) หนี้สิน/สินทรัพย์
หากค่าหนี้มีค่าสูงเกิน 0.5 แสดงว่าบุคคลดังกล่าวอาจจะมีสินทรัพย์ไม่เพียงพอที่จะชำระหนี้สินได้หมดในอนาคต อัตราส่วนการชำระคืนหนี้สินจากรายได้ (Debt Service Ratio) การชำระคืนหนี้สินต่อเดือน / รายได้รวมต่อเดือน < 0.45 ควรต่ำกว่า 35% และไม่ควรสูงเกิน 45% หากมีค่ามากๆ อาจมีความเสี่ยงเรื่องการผ่อนชำระหนี้ในอนาคตได้
- หากผลลัพธ์ที่ได้มีค่ามากกว่า 1 แสดงว่ารายได้ปัจจุบันสามารถทำให้เราอยู่รอดได้ และยังไม่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพทางการเงิน เพราะรายได้มากกว่ารายจ่าย
- หากผลลัพธ์ที่ได้มีค่าน้อยกว่า 1 แสดงว่ารายได้ปัจจุบันน้อยกว่ารายจ่าย ซึ่งจะส่งผลเสียต่อสุขภาพทางการเงินนั่นเอง
- หากอัตราส่วนสภาพคล่องมากกว่า 1 แสดงว่า มีเงินสดเพียงพอที่จะปิดหนี้ระยะสั้นได้หมดทันที
- หากอัตราส่วนสภาพคล่องน้อยกว่า 1 แสดงว่า ภาระหนี้ระยะสั้นมากเกินอำนาจในการชำระเงิน อาจแสดงถึงการมีสำรองเงินสด หรือเงินฝาก น้อยเกินไป
- หากคำนวณแล้วได้ค่าน้อยกว่า 3 เท่า แสดงว่า มีเงินสดสำรองน้อยเกินไป หากเกิดเหตุฉุกเฉินอาจทำให้มีปัญหาทางการเงินได้ ควรสำรองเงินสดเพิ่มขึ้น
- หากคำนวณแล้วได้ระหว่าง 3 - 6 เท่า แสดงว่า มีเงินสดเพื่อรองรับค่าใช้จ่ายฉุกเฉินต่อไปได้อีกอย่างน้อย 3 - 6 เดือน เช่น หากคำนวณแล้วได้ค่า 3 เท่า คือ สามารถใช้เงินสดที่มีเพื่อรองรับค่าใช้จ่ายต่อไปได้อีกอย่างน้อย 3 เดือน เป็นต้น ซึ่งค่าที่เหมาะสมก็ขึ้นอยู่กับความผันผวนของค่าใช้จ่ายของแต่ละบุคคลด้วย
- ไม่ควรมีค่าสูงกว่า 50% (หรือควร <0.5) เนื่องจากหากค่าหนี้มีค่าสูง แสดงว่าบุคคลดังกล่าวอาจจะมีสินทรัพย์ไม่เพียงพอที่จะชำระหนี้สินได้หมดในอนาคต หรือมีสัดส่วนหนี้สินอยู่สูงกว่าสินทรัพย์ ซึ่งอาจจะเกิดความเสี่ยงในการชำระหนี้เพราะเกิดปัญหาด้านสภาพคล่องหรือการขาดรายได้
- เกณฑ์มาตรฐานสำหรับอัตราส่วนนี้ ควรต่ำกว่า 35% และไม่ควรสูงเกิน 45% หากมีค่ามากๆ อาจมีความเสี่ยงเรื่องการผ่อนชำระหนี้ในอนาคต
- วางแผนการเงิน : การเช็กความแข็งแรงทางการเงินช่วยให้เราเข้าใจถึงภาพรวมของสถานการณ์การเงินของตนเองหรือธุรกิจ เพื่อวางแผนการเงินให้เหมาะสมกับวัตถุประสงค์และเป้าหมายทางการเงินต่างๆ
- การวางแผนการเงินส่วนบุคคล : การเช็กความแข็งแรงทางการเงินช่วยให้เราสามารถวางแผนการเงินส่วนบุคคลได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การเตรียมเงินสำรองฉุกเฉิน, การลงทุนเพื่อการเลี้ยงชีพหลังเกษียณ, หรือการวางแผนการเงินสำหรับการศึกษาบุตร เป็นต้น
- การเตรียมความพร้อมในกรณีฉุกเฉิน : การเช็กความแข็งแรงทางการเงินช่วยให้มีการเตรียมความพร้อมในกรณีเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด เช่น การสูญเสียงาน, การเจ็บป่วย, หรือภัยธรรมชาติ โดยการมีเงินสำรองหรือบำรุงเงินสำรองฉุกเฉินช่วยให้สามารถรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินได้ดีขึ้น
- การเสริมสร้างฐานะการเงิน : การเช็กความแข็งแรงทางการเงินช่วยให้เราสามารถระบุ และปรับปรุงจุดอ่อนในการเงิน เพื่อเสริมสร้างฐานะการเงินให้มั่นคง และสามารถรับมือกับสถานการณ์ทางการเงินที่มีความไม่แน่นอนได้
- การลงทุน : การเช็กความแข็งแรงทางการเงินช่วยให้มีการตัดสินใจเกี่ยวกับการลงทุนที่มีพื้นฐานทางการเงินแข็งแรงและมั่นคง เพื่อลดความเสี่ยงในการลงทุนและเพิ่มโอกาสในการได้รับผลตอบแทนที่ดีได้

