"บ้าน" นอกจากจะเป็นที่อยู่อาศัยแล้ว ยังเป็นแหล่งเงินกู้สำหรับผู้ต้องการเงินทุนหมุนเวียนด้วยนะคะ เราสามารถใช้บ้านของเราที่ปลอดภาระหนี้แล้ว หรือว่าผ่อนหมดแล้ว มาใช้เป็นหลักประกันสำหรับขอ "สินเชื่อบ้านแลกเงิน" ได้นะคะ เพื่อใช้เป็นสินเชื่อเอนกประสงค์ นำไปต่อยอดทำธุรกิจหรือซ่อมแซมต่อเติมบ้านก็ได้ สินเชื่อบ้านแลกเงินจะคล้ายๆกับสินเชื่อบ้านเลยค่ะ คือดอกเบี้ยไม่แรง และมีระยะเวลาชำระคืนนาน 15-30 ปี วันนี้พาไปรู้จักสินเชื่อบ้านแลกเงินให้มากขึ้นกว่าเดิมกันค่ะ...

สินเชื่อบ้านแลกเงินคืออะไร
เป็นสินเชื่อแบบมีหลักประกัน (Secure Loans) ซึ่งผู้กู้ต้องนำ "ที่อยู่อาศัย" ที่ปลอดภาระหนี้/ภาระจำนอง ไม่ว่าจะเป็นบ้านเดี่ยว, บ้านแฝด, ทาวน์เฮ้าส์, ทาวน์โฮม, คอนโดฯ และอาคารพาณิชย์ (ธนาคารบางแห่งอาจรวมถึงที่ดินเปล่าด้วย) มาจำนองเป็นหลักประกันเพื่อขอสินเชื่อ
สินเชื่อบ้านแลกเงินคิดดอกเบี้ยแบบไหน
ส่วนใหญ่เป็นแบบลอยตัว (Floating Rate) และคิดดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอก โดยผู้กู้ยังสามารถอาศัยอยู่ในบ้านได้ตามปกติ ส่วนวงเงินกู้จะขึ้นอยู่กับราคาประเมินของที่อยู่อาศัยที่นำไปเป็นหลักประกัน และมีระยะเวลาการผ่อนชำระสูงสุด 15-30 ปี
สินเชื่อบ้านแลกเงินเหมาะกับใคร
1. ผู้ที่มีอสังหาริมทรัพย์ เช่น บ้าน, ทาวน์เฮ้าส์, คอนโด, อาคารพาณิชย์ ไปจนถึงที่ดินเปล่า ที่ผ่อนหมดแล้ว แต่ต้องการได้เงินก้อนมาใช้
2. ผู้ที่ต้องการปรับโครงสร้างหนี้ รวมหนี้ทุกอย่างเข้าด้วยกัน เช่น หนี้บัตรเครดิต, หนี้บัตรกดเงินสด แล้วผ่อนกับสินเชื่อบ้านแลกเงินแทน เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าสินเชื่อส่วนบุคคลอื่นๆ
3. ผู้ที่ต้องการเงินทุนไปต่อยอดทำธุรกิจ
2. ผู้ที่ต้องการปรับโครงสร้างหนี้ รวมหนี้ทุกอย่างเข้าด้วยกัน เช่น หนี้บัตรเครดิต, หนี้บัตรกดเงินสด แล้วผ่อนกับสินเชื่อบ้านแลกเงินแทน เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าสินเชื่อส่วนบุคคลอื่นๆ
3. ผู้ที่ต้องการเงินทุนไปต่อยอดทำธุรกิจ
จะขอสินเชื่อบ้านแลกเงิน ต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง
1. ศึกษารายละเอียดและเงื่อนไขการให้สินเชื่อ
แต่ละธนาคารจะมีเงื่อนไขต่างกันออกไป เช่น บางธนาคารไม่รับหลักประกันเป็นที่ดินเปล่า รวมถึงเรื่องดอกเบี้ย ควรนำมาเปรียบเทียบหลายๆ ธนาคาร
แต่ละธนาคารจะมีเงื่อนไขต่างกันออกไป เช่น บางธนาคารไม่รับหลักประกันเป็นที่ดินเปล่า รวมถึงเรื่องดอกเบี้ย ควรนำมาเปรียบเทียบหลายๆ ธนาคาร
2. สร้างประวัติทางการเงินที่ดี
สำหรับคนที่ประวัติทางการเงินดี ไม่เคยผิดนัดชำระหนี้ มีรายได้แน่นอน ก็เพิ่มโอกาสในการอนุมัติสินเชื่อมากขึ้น
สำหรับคนที่ประวัติทางการเงินดี ไม่เคยผิดนัดชำระหนี้ มีรายได้แน่นอน ก็เพิ่มโอกาสในการอนุมัติสินเชื่อมากขึ้น
3. เตรียมเอกสารให้พร้อม
นอกจากเอกสารส่วนตัวแล้ว อย่าลืมเอกสารเกี่ยวกับที่อยู่อาศัยที่ใช้เป็นหลักประกัน เช่น โฉนดที่ดิน, หนังสือแสดงกรรมสิทธิ์ห้องชุด เป็นต้น
นอกจากเอกสารส่วนตัวแล้ว อย่าลืมเอกสารเกี่ยวกับที่อยู่อาศัยที่ใช้เป็นหลักประกัน เช่น โฉนดที่ดิน, หนังสือแสดงกรรมสิทธิ์ห้องชุด เป็นต้น
4. ยื่นเรื่องขอสินเชื่อและประเมินราคาหลักทรัพย์
เมื่อเราได้ส่งเอกสารยื่นกู้พร้อมหลักฐานให้แก่ธนาคารแล้ว ก็ถึงขั้นตอนในการประเมินหลักทรัพย์ที่ขอสินเชื่อ เพื่อนำไปพิจารณาวงเงินกู้ต่อไป
เมื่อเราได้ส่งเอกสารยื่นกู้พร้อมหลักฐานให้แก่ธนาคารแล้ว ก็ถึงขั้นตอนในการประเมินหลักทรัพย์ที่ขอสินเชื่อ เพื่อนำไปพิจารณาวงเงินกู้ต่อไป
5. ธนาคารพิจารณาอนุมัติสินเชื่อ
หลังจากเจ้าหน้าที่ประเมินราคาหลักทรัพย์แล้ว จะต้องรอให้เจ้าหน้าที่ติดต่อกลับมา เพื่อแจ้งว่าการขอสินเชื่อของเราอนุมัติหรือไม่ และได้วงเงินเท่าไหร่ ก็ใช้เวลาประมาณ 1-2 สัปดาห์ในการพิจารณาและแจ้งผลการอนุมัติพร้อมอัตราดอกเบี้ยให้ผู้กู้ทราบ
หลังจากเจ้าหน้าที่ประเมินราคาหลักทรัพย์แล้ว จะต้องรอให้เจ้าหน้าที่ติดต่อกลับมา เพื่อแจ้งว่าการขอสินเชื่อของเราอนุมัติหรือไม่ และได้วงเงินเท่าไหร่ ก็ใช้เวลาประมาณ 1-2 สัปดาห์ในการพิจารณาและแจ้งผลการอนุมัติพร้อมอัตราดอกเบี้ยให้ผู้กู้ทราบ
6. ทำสัญญาและจดจำนอง
เมื่อได้รับอนุมัติแล้วก็จะต้องไปเซ็นสัญญาเงินกู้ พร้อมทำเรื่องจดจำนองที่อยู่อาศัยนั้น ณ สำนักงานที่ดินซึ่งที่อยู่อาศัยนั้นตั้งอยู่ค่ะ
เมื่อได้รับอนุมัติแล้วก็จะต้องไปเซ็นสัญญาเงินกู้ พร้อมทำเรื่องจดจำนองที่อยู่อาศัยนั้น ณ สำนักงานที่ดินซึ่งที่อยู่อาศัยนั้นตั้งอยู่ค่ะ
เมื่อได้วงเงินมาตามที่ต้องการแล้ว สิ่งสำคัญเลยก็คือการผ่อนชำระคืนนะคะ เราต้องรับภาระสินเชื่อบ้านแลกเงินยาวๆ คล้ายกับสินเชื่อบ้านเลย คือ 15-30 ปี และสามารถนำเงินก้อนไปโปะหนี้นั้นได้เช่นกัน อย่าลืมผ่อนชำระให้ตรงเวลานะคะ เพื่อเป็นการสร้างเครดิตการเงินที่ดี เผื่อการขอสินเชื่ออื่นๆ ในอนาคตนะคะ
เขียนโดย
เช็คราคา.คอม
Money Guru
พูดคุยกับกูรูได้ที่

