ทำไมต้องทำประกันสุขภาพ
เชื่อว่าหลายๆ คนคงมีความคิดว่า จะทำประกันสุขภาพทำไม ในเมื่อเรายังแข็งแรง ปกติดีอยู่ เสียดายเงิน เบี้ยประกันสุขภาพแพง เอาเงินไปทำอย่างอื่นดีกว่า... แต่ถ้ามองทางกลับกัน ถ้าเราไม่มีประกันสุขภาพเลย แล้วเราป่วยหนัก ต้องใช้เงินก้อน เราได้เตรียมเงินก้อนนั้นพร้อมแล้วหรือยัง? แค่ผ่าตัดไส้ติ่ง ยังต้องใช้เงินแสน แล้วถ้าเป็นมากกว่านั้นล่ะ?... คำพูดที่ว่า "รู้งี้ทำประกันไว้ก่อนดีกว่า" เกิดเสมอๆ ในตอนที่เราจำเป็นต้องใช้แต่เราไม่มี ดังนั้น วันนี้เรามาดูกันดีกว่าว่า เราจะเลือกประกันสุขภาพแบบไหน ให้เหมาะกับตัวเองมากที่สุดค่ะ
ประกันสุขภาพแบบไหนเหมาะกับใคร

อายุ 0-5 ขวบ วัยแบเบาะถึง Pre school
วัยนี้มีความเสี่ยงเจ็บป่วยได้ง่าย ภูมิคุ้มกันต่ำ มีโรคที่มักเกิดกับเด็กเล็ก เช่น โรค RSV โรคมือเท้าปาก โรคหัด เป็นต้น คุณพ่อคุณแม่ควรทำประกันสุขภาพแบบเหมาจ่ายที่ครอบคลุมค่าห้องและค่ารักษา เบี้ยช่วงวัยนี้จะค่อนข้างแพง เพราะมีความเสี่ยงสูง ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ประมาณ 40,000 บาทต่อปี
อายุ 6-20 ปี วัยเรียนรู้
ช่วงวัยนี้เป็นวัยพัฒนาการเรียนรู้ มีการทำกิจกรรมต่างๆ วัยซนคึกคะนอง มีโอกาสเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุขึ้นได้ แนะนำให้ทำประกันอุบัติเหตุไว้เพิ่มเติม เพื่อความสบายใจค่ะ เบี้ยประกันอุบัติเหตุเบี้ยไม่แพงมาก มีตั้งแต่หลักร้อยถึงหลักพัน แล้วแต่ความคุ้มครองที่ต้องการค่ะ
อายุ 21-30 ปี วัยเริ่มต้นทำงาน
ขอแบ่งอาชีพกลุ่มใหญ่ๆ 3 กลุ่ม คือ 1. พนักงานบริษัท 2. Freelance/เจ้าของกิจการ และ 3. ข้าราชการ
ซึ่งทั้ง 3 กลุ่ม จะมีคำแนะนำการเลือกประกันสุขภาพที่แตกต่างกันไป ดังนี้

คำแนะนำ ประกันสุขภาพแบบเหมาจ่าย ที่ครอบคลุมทั้งการรักษาภายในและภายนอก IPD/OPD จะตอบโจทย์ที่สุดค่ะ หลักการเดียวกัน คือ ตรวจสอบเรทของโรงพยาบาลที่เข้ารักษาประจำ เพื่อใช้เป็นเกณฑ์ในการซื้อประกันสุขภาพให้ครอบคลุม พร้อมกับการทำประกันชดเชยรายได้
3. กลุ่มข้าราชการ มีสวัสดิการแห่งรัฐในการเบิกจ่ายค่ารักษา
ซึ่งแน่นอนว่า ข้าราชการไม่จำเป็นต้องซื้อประกันสุขภาพเพิ่มเติมก็ได้ เพราะมีสวัสดิการรัฐออกค่ารักษาให้ แต่จริงๆ แล้ว ข้าราชการก็สามารถซื้อประกันสุขภาพของตัวเองเพิ่มเติมได้ เพื่อให้ครอบคลุมการรักษาที่มากขึ้น แนะนำเน้นทำประกันชดเชยรายได้ เมื่อเราป่วย สามารถเบิกเงินชดเชยจากประกันได้เพิ่มเติมค่ะ
เบี้ยประกันสุขภาพช่วงวัยนี้ ประมาณ 17,000-25,000 บาท ต่อปี (อ้างอิงจากประกันเหมาจ่ายวงเงิน 5 ล้านบาท)
อายุ 31-50 ปี วัยสร้างครอบครัวและความมั่นคง
อายุ 50-60 ปี ช่วงทำงาน 10 ปีสุดท้าย ก่อนเกษียณ
เป็นช่วงวัยเก๋า ถ้าวางแผนการเงินดีๆ บางคนก็เริ่มเกษียณตัวเองได้แล้ว แต่หลายๆ คนก็ยังมีไฟทำงานได้อยู่ เป็นช่วงปรับตัวตั้งรับกับการเกษียณที่จะมาถึง ช่วงวัยนี้จะเริ่มมีโรคคนแก่ เช่น ข้อเข่าเสื่อม กระดูกพรุน ตาต้อ ความดัน หัวใจ และอื่นๆ ดังนั้น ประกันสุขภาพจำเป็นอย่างมาก ควรทำตั้งแต่เรายังสุขภาพดีอยู่ คนไหนที่ทำไว้แล้วตั้งแต่แรก แนะนำให้ทำต่อไปเรื่อยๆ นะคะ เพื่อให้มีความคุ้มครองต่อเนื่อง
เบี้ยประกันวัยนี้จะค่อนข้างสูงขึ้นมาตามอายุและความเสี่ยง ประมาณ 35,000-45,000 ต่อปี (อ้างอิงจากประกันเหมาจ่ายวงเงิน 5 ล้านบาท)
อายุ 60 ขึ้นไป หลังเกษียณ
ชีวิตช่วงนี้ควรมีความสุขที่สุด เพราะเกษียณอยู่บ้าน ไม่ต้องทำงานหนัก สามารถใช้ชีวิตหลังเกษียณกับครอบครัวลูกหลาน แต่ก็มีความเสี่ยงด้านสุขภาพที่จะเกิดขึ้นเพราะอายุมากขึ้นนั่นเอง ดังนั้น ควรมองหาประกันสุขภาพที่ครอบคลุมทั้งผู้ป่วยใน ผู้ป่วยนอก IPD/OPD และเสริมด้วยประกันอุบัติเหตุไว้เพิ่มเติมค่ะ

ไม่ว่าช่วงอายุไหนๆ ประกันสุขภาพเหมาจ่าย เป็นสิ่งที่แนะนำให้ทำไว้นะคะ อีกเรื่องที่ทุกคนอาจจะมองข้ามไป ก็คือ ประกันจะทำได้โดยไม่มีเงื่อนไขก็ต่อเมื่อ ผู้เอาประกันมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง ไม่มีประวัติสุขภาพ หากผู้เอาประกันมีปัญหาด้านสุขภาพ ทางบริษัทประกันจะมีการพิจารณาเพิ่มเติมแล้วแต่กรณี เช่น เพิ่มเบี้ย หรือยกเว้นโรคที่เป็น หรือไม่รับทำประกันเลย เป็นต้น ถ้ายังสุขภาพดี แนะนำให้รีบทำประกันไว้ค่ะ
- ประกันสุขภาพ หรืออุบัติเหตุ เป็นเบี้ยสูญเปล่า คือ เราจ่ายเพื่อได้รับความคุ้มครองปีต่อปี ถ้าปีไหนไม่เคลม ก็คือไม่มีการคืนเงินให้ค่ะ เหมือนการทำประกันรถยนต์นั้นเอง
- เบี้ยสุขภาพจะปรับขึ้นตามช่วงอายุ ส่วนใหญ่จะปรับขึ้นทุกๆ 5 ปี เช่น เบี้ยจะเท่ากัน ตอนที่เราอายุ 31-35 และปรับขึ้นอีกทีตอนอายุ 36-40 ไปเรื่อยๆ ดังนั้น ต้องวางแผนให้ดีว่า เมื่อเราอายุมากขึ้น เบี้ยจะถูกปรับเป็นเท่าไหร่ เราต้องเตรียมความพร้อมในการจ่ายเบี้ยไว้ล่วงหน้าด้วยนะคะ
- ประกันสุขภาพควรทำตอนที่เรายังสุขภาพดี แข็งแรง ไม่มีประวัติสุขภาพค่ะ
- โอนถ่ายความเสี่ยงด้านการเงินออกไปให้บริษัทประกันรับผิดชอบแทน โดยลดภาระค่าใช้จ่ายในการรักษา ไม่ต้องรบกวนเงินเก็บที่อุตส่าห์สะสม และวางแผนไว้เพื่ออนาคต หรือเพิ่มภาระการเงินให้ครอบครัว
- เพิ่มโอกาสในการรักษาโรคมากขึ้น ด้วยวิทยาการทางการแพทย์ที่พัฒนาตลอดเวลา เทคโนโลยีต่างๆ ตามมาซึ่งราคา ค่าใช้จ่ายในการรักษาจึงสูงขึ้นตาม ถ้าเราทำประกันสุขภาพความคุ้มครองสูงไว้ เราจะมีโอกาสได้รับการรักษาที่ดีขึ้น
- เบี้ยประกันสุขภาพ สามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ ไม่เกิน 25,000 บาท แต่เมื่อรวมกับเบี้ยประกันชีวิตจะหักลดหย่อนภาษีตามที่จ่ายจริงได้สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาทเท่านั้น
ขอให้ทุกท่านสุขภาพแข็งแรงค่ะ

