
RED ZONE "Cyber Security" แบงก์ไทย.. 4 หัวใจสำคัญรับมือกับภัยไซเบอร์
ต้องยอมรับว่าในปัจจุบัน.. การทำธุรกรรมทางการเงินของเรานั้นได้มีการพัฒนาในเชิงเทคโนโลยีกันมากขึ้น เพื่อตอบโจทย์ให้กับลูกค้าที่ต้องการความสะดวก รวดเร็ว การเข้าถึงของระบบต่างๆ รวมไปถึงการบริการที่มีความหลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำธุรกรรมออนไลน์ (Online Transactions) ซึ่งแน่นอนว่ามีความเสี่ยงมากกับการถูกคุกคามจาก "ภัยไซเบอร์ (Cyber Attack)" โดยที่ทาง World Economic Forum ได้จัดให้เรื่องภัยไซเบอร์นั้นเป็นความเสี่ยงสำคัญระดับโลกที่คาดว่าจะเป็นความเสี่ยงที่มีโอกาสเกิดขึ้นและถี่มากขึ้นในช่วงเวลา 10 ปีข้างหน้า และภาคการเงินเป็น 1 ใน 3 เป้าหมายหลักของการโจมตีนอกภาครัฐ และ Healthcare ซึ่งการจัดการทางโซเชียลของประเทศไทย จัดอยู่ในอันดับที่ 20 จากทั้งหมด 165 ประเทศทั่วโลก
4 หัวใจหลัก เพื่อรับมือกับภัยไซเบอร์
นอกจากเรื่องความมั่นคงของระบบธนาคารแล้ว ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท. ยังให้ความสำคัญกับ Cyber Security เป็นอย่างมากเช่นกัน โดยได้ยกระดับการดูแลเรื่อง Cyber Security ไว้ที่โซนสีแดง (Red Zone) เนื่องจากเป็นเรื่องใกล้ตัวและสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ซึ่งหลายๆ ประเทศก็ได้ยกระดับเรื่องนี้ไว้ที่โซนสีแดงเหมือนกัน โดยนโยบายด้านการรักษาความปลอดภัยจาก Cyber Risk ของ ธปท. มีด้วยกัน 4 ด้านคือ
รวมถึงการดูแลความปลอดภัยของข้อมูลลูกค้าของสถาบันการเงินต่างๆ ซึ่งหลังจากการประเมินของ ธปท. ก็พบว่ามีธนาคารไม่กี่แห่งที่มีความเสี่ยงสูง โดยปัญหาสำคัญที่พบเป็นเรื่องของการตอบสนองอย่างรวดเร็ว (Respond) และการกู้ระบบกลับในเวลาที่ทันการณ์ (Recovery) ซึ่งเป็นสิ่งที่ธนาคารต้องสร้างความเข้มแข็งให้มากขึ้น โดยทาง ธปท. ได้กำหนดกรอบการประเมินความพร้อมรับมือภัยไซเบอร์ (Framework) ตามมาตรฐานสากล เพื่อให้ธนาคารได้นำไปบริหารจัดการระบบ IT เนื่องจากภัยไซเบอร์สามารถเปลี่ยนได้ตลอดเวลา โดย Framework ประกอบด้วย 2 ส่วนคือ
- วิธีการประเมินความเสี่ยง ซึ่งแต่ละธนาคารมีความเสี่ยงที่แตกต่างกัน โดยประเมินจาก Connection ปริมาณลูกค้า บริการด้านไอทีของธนาคาร รวมถึงบันทึกข้อมูลจากการโจมตี
- การจัดการความเสี่ยงของธนาคาร โดยดูตั้งแต่การกำกับดูแล ซึ่งต้องให้ความสำคัญตั้งแต่ระดับผู้บริหาร รวมถึงดูเรื่องการป้องกันและการตรวจสอบ
การจัดตั้ง Cyber Security Agency เพื่อดูแลภัยไซเบอร์ระดับประเทศ
ปัจจุบันได้มีการจัดตั้งสำนักงานคณธกรรมการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ หรือ Cyber Security Agency (CSA) เพื่อดูแลเรื่องภัยไซเบอร์ของประเทศ นอกจากนี้ยังมีการผลักดันร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ และร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล โดยกฎหมายจะให้อำนาจกับหน่วยงาน CSA โดยเฉพาะ รวมถึงโครงการนำร่องเรื่อง Cyber Security โดยประเทศไทยมี 6 Sector ที่เป็น Critical Information Infrastructure ที่ต้องดูแลเรื่องภัยไซเบอร์ให้เข้มแข็ง ได้แก่
ทั้งนี้ ภัยไซเบอร์สามารถส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง และแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็วแบบไร้พรมแดน โดยสถิติของภัยไซเบอร์ที่สำคัญที่เกิดในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา มีหลายเหตุการณ์ที่เป็นภัยสำคัญ ที่ถ้าหากไม่มีการรับมือกับภัยดังกล่าวก็อาจส่งผลกระทบจนเกิดความเสียหายมากมายได้
ประเภทของภัยไซเบอร์ มีอะไรบ้าง?
1. Phishing คือ ภัยคุกคามด้านสารสนเทศในลักษณะของการโกง หรือหลอกเอาข้อมูลสำคัญของ User เช่น Username Password หรือข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ โดยผู้โจมตีจะใช้วิธีการล่อลวงให้ผู้ใช้งานเข้าถึงบริการหรือระบบที่ได้ทำการปลอมแปลงขึ้นมา และให้ผู้ใช้งานคิดว่ากำลังใช้งานจากระบบของผู้ให้บริการจริงอยู่
2. Malicious Code คือ โปรแกรมที่ไม่พึงประสงค์ เป็นภัยคุกคามที่เกี่ยวข้องกับโปรแกรมหรือชุดคำสั่งที่ถูกพัฒนาขึ้นด้วยวัตถุประสงค์ร้ายที่เรียกว่า มัลแวร์ (Malware) เพื่อให้เกิดความขัดข้องหรือความเสียหายกับระบบปกติของโปรแกรม, Software เช่น Virus, Worm, Trojan หรือ Spyware อาจจะอาศัยให้ผู้ใช้งานเปิดโปรแกรมหรือซอฟต์แวร์ก่อน จึงจะสามารถติดตั้งตัวเองหรือทำงานได้ หรือทำการเผยแพร่มายังเครื่องของผู้ใช้และเริ่มทำงานอัตโนมัติ ซึ่งอาจมาจากหน้าเว็บไซต์ที่มีโค้ดอันตรายที่เผยแพร่ มัลแวร์ (Malware URL) แก่ผู้เข้าเยี่ยมชม
3. Spam เป็นภัยคุกคามด้านสารสนเทศที่เกิดจากผู้ประสงค์ร้าย ทำการส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ หรือ e-mail ไปยังผู้รับจำนวนมาก โดยผู้ที่ได้รัยจดหมายนั้นไม่ได้มีความประสงค์ที่จะรับข้อมูลมาก่อน ส่วนมากจะมาในรูปแบบการโฆษณาสินค้าและบริการ ที่ทำให้เกิดความเดือดร้อน หรือรำคาญแก่ผู้รับ
4. Web Defacement เป็นภัยคุกคามด้านสารสนเทศอีกเช่นกัน ที่เกิดจากการเจาะระบบได้สำเร็จแล้วทำการเปลี่ยนแปลงข้อมูลบนหน้าเว็บไซต์ เพื่อสร้างความอับอายให้หน่วยงานเจ้าของเว็บไซต์ หรือผู้ที่เกี่ยวข้องเกิดความเสื่อมเสียชื่อเสียง
5. Availability คือภัยคุกคามทีเกิดจากการโจมตีสภาพความพร้อมของการใช้งานของระบบต่างๆ เพื่อทำให้การบริการต่างๆ ของระบบไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ มีผลกระทบตั้งแต่เกิดความล่าช้าในการตอบสนองของบริการ จนกระทั่งระบบไม่สามารถให้บริการต่อได้ เช่น การโจมตีประเภท DDos (Distributed of Service) รวมไปถึงการโจมตีโครงสร้างพื้นฐานที่สนับสนุนการให้บริการของระบบ เช่น อาคาร ระบบ ไฟฟ้า
6. Intrusion Attempts คือ ภัยคุกคามที่เกิดจากความพยายามเข้าเจาะระบบ ทั้งที่ผ่านจุดอ่อน หรือช่องโหว่ที่เป็นที่รู้จักในสาธารณะ หรือที่ยังไม่เคยพบจุดอ่อนมาก่อน เพื่อจะได้เข้าควบคุมหรือเข้าถึงข้อมูลของระบบนี้ รวมไปถึงพยายามจะเจาะระบบผ่านช่องทางการ Log-in ด้วยวิธีการสุ่มหรือเดา Username และ Password ของผู้ใช้งาน
จะทำอย่างไร ให้ปลอดภัยจากภัยไซเบอร์?
นอกจากทางสถาบันการเงินต้องยกระดับเรื่อง Cyber Security แล้ว ทางด้านของผู้ใช้งานเองก็ต้องปรับตัวให้สามารถใช้ Digital Banking ได้อย่างมั่นใจ โดยมีแนวทางในการใช้งานดังนี้
1. หมั่นศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับภัยที่อาจจะเจอได้ เพื่อให้รู้เท่าทันและรู้จักป้องกันภัยนั้นๆ โดยมีแหล่งข้อมูลมากมายหลากหลายช่องทาง ทั้งจากธนาคารแห่งประเทศไทย จากสถาบันการเงิน จากสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงแหล่งต่างๆ บนเว็บไซต์
2. ต้องดูแลความปลอดภัยที่สำคัญของตนเอง โดยไม่ละเมิดระบบความปลอดภัยของโทรศัพท์ เช่น
ก็หวังข้อมูลที่เรานำมาฝากนั้นจะเป็นประโยชน์สำหรับเพื่อนๆ หรือใครที่ชื่นชอบการทำธุรกรรมออนไลน์ และสนใจในด้านเทคโนโลยีทางการเงินกันนะคะ เพราะจากบทความอื่นๆ ที่ได้มีการย้ำเตือนกันไปแล้วว่า นอกจากจะดูเรื่องความสะดวกรวดเร็วในการทำธุรกรรมแล้ว จะต้องคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นหลักด้วย
แท็กที่เกี่ยวข้อง
บัตรเครดิต
credit card
ธุรกรรมออนไลน์
การเงินธนาคาร
ธุรกรรมทางการเงิน
online transaction
เขียนโดย
เช็คราคา.คอม
Money Guru
พูดคุยกับกูรูได้ที่

