"โดนทุบรถ" ประกันก็ไม่ได้ต่อ เงินเก็บก็ไม่มี...แล้วจะหาสินเชื่อจากไหนมาซ่อมรถดี
โอ๊ยเครียด!! อยู่ๆ ก็ "โดนทุบรถ" ซึ่งอาจเกิดจากความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของตัวเราเอง ไปจอดรถในที่ที่ไม่ควรจอด จึงทำให้คนที่ไม่พอใจ หรือได้รับความเดือนร้อนจากการจอดรถผิดที่ของเรา นำค้อน ไม้ หรือก้อนหินมาทุบรถเรา ทำให้เกิดความเสียหาย โดยเหตุการณ์ฉุกเฉินหรืออุบัติเหตุแบบนี้ย่อมเกิดขึ้นได้เสมอ ซ้ำร้ายถ้าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในช่วงที่รถเราหมดประกันพอดี และยังไม่ได้มีการต่อประกันภัยรถยนต์ เงินเก็บที่จะเอาออกมาใช้จ่ายยามฉุกเฉินก็ไม่มี ส่งผลทำให้เราตกอยู่ในภาวะวิกฤตทางการเงินขาดสภาพคล่อง รถก็ต้องใช้ในการประกอบอาชีพ ไม่ซ่อมก็ไม่ได้ คำถามที่ตามมาคือ...เราจะหาเงินจากที่ไหนมาซ่อมรถ ที่สามารถผ่อนส่งได้ ดอกเบี้ยถูก อนุมัติเร็ว เบิกถอนที่ไหนก็ได้
แหล่งเงินกู้ที่สามารถนำมาใช้ยามฉุกเฉิน ปัจจุบันก็มีอยู่มากมายหลายแหล่ง ไม่ว่าจะเป็นการกู้เงินจากสถาบันการเงินต่างๆ เช่น ธนาคาร หรือบริษัทไฟแนนซ์ ต่างก็มีผลิตภัณฑ์เงินกู้ฉุกเฉินออกมาบริการให้กับลูกค้าที่มีความจำเป็นใช้เงินทุกคน แต่สิ่งที่ต้องบอกและย้ำกันอยู่เสมอในทุกๆ การกู้เงินนั้น แหล่งเงินกู้ที่เราไม่ควรข้องเกี่ยวนั่นก็คือ
"เงินกู้นอกระบบ" เพราะนอกจากจะทำให้เราต้องจ่ายดอกเบี้ยในจำนวนที่มากสุด โหดสุดแล้ว อาจจะทำให้เรามีปัญหาทางการเงินวนเวียนแบบไม่รู้จบก็เป็นได้ ดังนั้น วันนี้
CheckRaka.com จะขอนำเสนอทางเลือกในการกู้เงินฉุกเฉินยามจำเป็น ที่ได้รับดอกเบี้ยในอัตราต่ำ สามารถผ่อนชำระได้ในระยะยาว เบิกถอนง่าย อนุมัติเร็ว และตอบโจทย์ทุกการใช้เงิน
ประเภทเงินกู้แบบไหน...น่าสนใจที่สุดสำหรับวงเงินฉุกเฉิน?
จากเหตุการณ์
"โดนทุบรถ" ข้างต้น เงินกู้ที่เหมาะสำหรับเป็นทางเลือกก็คือ
"สินเชื่อบุคคล" ซึ่งสินเชื่อบุคคลนี้เป็นสินเชื่อที่สถาบันการเงินบริการให้แก่บุคคลธรรมดาเอาไปซื้อสินค้าและบริการเพื่อการบริโภค โดยไม่ต้องมีหลักประกัน และอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ ธปท. (ธนาคารแห่งประเทศไทย) สินเชื่อบุคคลนี้ก็มีอยู่หลายรูปแบบ เช่น (1)ทำสัญญาและรับเงินไปทั้งก้อน (2)ทำสัญญาเพื่อรับวงเงินหมุนเวียนแล้วใช้
บัตรกดเงินสด ทยอยกดเงินออกมาเท่าที่ต้องการจะใช้ในแต่ละครั้ง หรือ (3)ทำสัญญาเช่าซื้อสินค้าเป็นรายชิ้น โดยสถาบันการเงินหรือผู้ให้สินเชื่อสามารถอนุมัติวงเงินให้ผู้ขอสินเชื่อแต่ละรายได้ไม่เกิน 5 เท่าของรายได้เฉลี่ยต่อเดือน หรือเงินสดหมุนเวียนในบัญชีเงินฝากเฉลี่ยย้อนหลังไม่น้อยกว่า 6 เดือน ซึ่งสถาบันการเงินหรือผู้ให้สินเชื่อจะเป็นคนกำหนดว่ารายได้หรือเงินสดหมุนเวียนในบัญชีเฉลี่ยเท่าไหร่ถึงจะรับพิจารณาอนุมัติสินเชื่อให้
สำหรับอัตราดอกเบี้ย ค่าปรับ ค่าบริการ และค่าธรรมเนียมต่างๆ รวมกันแล้วต้องไม่เกิน 28% ต่อปี โดยคำนวณดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอก อีกทั้งสถาบันการเงินผู้ให้สินเชื่ออาจเรียกเก็บค่าใช้จ่ายอื่นตามที่จ่ายจริงและเห็นสมควรได้ เช่น ค่าติดตามทวงถามหนี้ ค่าอากรแสตมป์ เป็นต้น
รายละเอียดของสินเชื่อทางเลือกสำหรับคนที่ต้องการเงินด่วน!!
1. สินเชื่อส่วนบุคคล (รับเงินไปทั้งก้อน)
เป็นสินเชื่อที่เมื่อได้รับการอนุมัติวงเงินแล้ว สถาบันการเงินผู้ให้สินเชื่อจะโอนเงินกู้ทั้งจำนวนเข้าบัญชีของผู้กู้ และผู้กู้จะต้องทยอยผ่อนชำระเป็นงวดๆ งวดละเท่าๆ กัน เป็นการกำหนดงวดชำระอย่างชัดเจน เช่น 6 เดือน 12 เดือน หรือ 24 เดือน เป็นต้น จนครบตามกำหนดเงื่อนไขในสัญญา โดยทางสถาบันการเงินผู้ให้กู้จะเริ่มคิดดอกเบี้ยทันทีที่จำนวนเงินถูกโอนเข้าบัญชี ซึ่งจะเป็นการคิดคำนวณดอกเบี้ยเป็นรายวันแบบลดต้นลดดอก ถึงแม้ผู้กู้จะยังไม่ได้มีการถอนเงินออกมาใช้ก็ตาม
2. สินเชื่อบัตรกดเงินสด (ทยอยกดเงินออกมาใช้เท่าที่ต้องการ)เป็นการใช้บัตรที่มีลักษณะการใช้งานเหมือนกับบัตร ATM ด้วยการเบิกถอนเงินสินเชื่อที่ได้รับอนุมัติตามวงเงินที่กำหนดจากการนำบัตรสินเชื่อไปกดเงินออกจากตู้ ATM ได้ทันที ซึ่งสินเชื่อ
บัตรกดเงินสด นี้จะมีการคิดดอกเบี้ยจากวงเงินที่เรากดออกมาใช้ คำนวณแบบลดต้นลดดอก กดมาเท่าไหร่ก็คิดดอกเบี้ยตามวงเงินที่กดออกมาเท่านั้น หรือที่เข้าใจกันว่า "ไม่ใช้ ก็ไม่เสีย" นั่นเอง
3. สินเชื่ออเนกประสงค์แบบมีหลักประกัน
เป็นสินเชื่อที่ผู้ขอสินเชื่อต้องเอาทรัพย์สินมาเป็นหลักประกันในการกู้เงิน เช่น ที่อยู่อาศัย รถยนต์ บัญชีเงินฝาก บำเหน็จตกทอด พันธบัตร เป็นต้น ซึ่งวงเงินที่ได้รับอนุมัติจะขึ้นอยู่กับการพิจารณาจากหลักประกันตามมูลค่าตลาด ณ เวลานั้น ร่วมกับความสามารถในการผ่อนชำระ และระยะเวลาการผ่อนชำระ โดยการคิดดอกเบี้ยสำหรับสินเชื่ออเนกประสงค์แบบมีหลักประกันมักจะคิดแบบลดต้นลดดอก (ยกเว้นสินเชื่อที่ใช้รถยนต์เป็นหลักประกัน ที่จะคิดแบบเงินต้นคงที่ (Flat Rate))
เปรียบเทียบ 3 สินเชื่อบุคคล แบบไหนดี แบบไหนเหมาะกับสถานการณ์ "โดนทุบรถ" มากที่สุด!!
หลังจากที่พอจะเข้าใจในรายละเอียดของสินเชื่อบุคคลในแต่ละรูปแบบแล้ว เรามาดูต่อกันเลยว่าสินเชื่อบุคคลแบบไหนดี แบบไหนเหมาะกับสถานการณ์ข้างต้นด้วยการเอาสินเชื่อทั้ง 3 แบบนี้มาเปรียบเทียบให้เห็นกันชัดๆ เลยว่าถ้าเราตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนั้นเราควรเลือกที่จะใช้สินเชื่อบุคคลแบบใด
คุณสมบัติหลักของสินเชื่อบุคคล
|
สินเชื่อส่วนบุคคล (รับเงินไปทั้งก้อน)
| สินเชื่อบัตรกดเงินสด (ทยอยกดเงินออกมาใช้เท่าที่ต้องการ)
| สินเชื่ออเนกประสงค์แบบมีหลักประกัน
|
- โอนเงินเข้าบัญชีทันทีเมื่อได้รับอนุมัติ
- เริ่มคิดดอกเบี้ยตั้งแต่เงินถูกโอนเข้าบัญชี
- คำนวณดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอก
- กำหนดระยะเวลาผ่อนที่แน่นอน
- ไม่ต้องมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน
| - วงเงินอนุมัติจะอยู่ในบัตรสินเชื่อ
- กดใช้จากตู้ ATM เมื่อไหร่ก็ได้
- ถ้าไม่กดเงินออกมาใช้ก็ไม่มีภาระดอกเบี้ย
- เป็นวงเงินฉุกเฉินพร้อมใช้ตลอดเวลา
- คำนวณดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอก
- สามารถเลือกชำระยอดขั้นต่ำ 3-5% ตามเงื่อนไขในสัญญาได้
- ไม่ต้องมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน
| - โอนเงินเข้าบัญชีเมื่อได้รับการอนุมัติ
- เริ่มคิดดอกเบี้ยตั้งแต่วงเงินอนุมัติโอนเข้าบัญชี
- ดอกเบี้ยมีการคำนวณได้ทั้งแบบเงินคงที่ และลดต้นลดดอก ขึ้นอยู่กับทรัพย์สินที่นำมาค้ำประกัน (ถ้าเป็นรถยนต์จะเป็นการคิดแบบเงินต้นคงที่)
- กำหนดระยะเวลาผ่อนแน่นอน
- ต้องมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน เช่น บ้าน รถยนต์ สมุดบัญชีเงินฝาก พันธบัตร ฯลฯ
|
จากการเปรียบเทียบนี้ ทางเราขอแนะนำเป็น
"สินเชื่อบัตรกดเงินสด" เพราะสินเชื่อบุคคลรูปแบบนี้เหมาะกับการใช้วงเงินฉุกเฉินพร้อมใช้ตลอดเวลาที่เกิดจากสถานการณ์ที่เราไม่คาดคิดมาก่อนในทุกกรณีเร่งด่วน ซึ่งมีการใช้งานง่าย เบิกถอนได้จากตู้ ATM ทั่วไป ต้องการใช้วงเงินเท่าไหร่ก็ถอนออกมาเท่านั้น เสียดอกเบี้ยเฉพาะยอดที่ถอนออกมาใช้ แถมยังเป็นการคิดคำนวณดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอกอีกด้วย สามารถผ่อนชำระขั้นต่ำเป็นงวดๆ โดยมีให้เลือก
3 - 5% ของยอดค้างชำระทั้งหมด (ตามเงื่อนไขของธนาคาร)ได้ตามความต้องการของผู้กู้ เลือกสินเชื่อบัตรกดเงินสดจากธนาคารไหนดีที่สุด
สถาบันการเงินในปัจจุบันได้ให้บริการผลิตภัณฑ์สินเชื่อ
บัตรกดเงินสด แทบจะทุกธนาคาร ซึ่งคุณสมบัติการสมัคร ลักษณะการใช้งาน วงเงินอนุมัติ หรือแม้แต่อัตราดอกเบี้ยก็จะใกล้เคียงกัน เนื่องจากต้องเป็นไปตามเงื่อนไขของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ได้กำหนดไว้ในประกาศ แต่ที่มีความแตกต่างเพื่อให้ผลิตภัณฑ์สินเชื่อ
บัตรกดเงินสด นั้นน่าสนใจมากกว่าคู่แข่ง นั่นก็คือ "โปรโมชั่น" ที่จะมีการแข่งขันอย่างดุเดือดในตลาดสินเชื่อ ใช้เป็นแรงจูงใจให้ผู้บริโภคสนใจบริการด้วยการสมัครสินเชื่อ
บัตรกดเงินสด ของธนาคารนั้น
เห็นแบบนี้แล้ว หลายคนคงอยากจะรู้รายละเอียดของผลิตภัณฑ์สินเชื่อ บัตรกดเงินสด ของแต่ละธนาคารที่เราได้นำเสนอเป็นตัวอย่างในภาพแล้วใช่มั้ยคะ?
1. บัญชีซิตี้ เรดดี้เครดิต (Citi Ready Credit) ธ.ซิตี้แบงก์
บัตรกดเงินสด ของซิตี้แบงค์มีชื่อว่า
"บัญชีซิตี้ เรดดี้เครดิต" สโลแกนว่า "บัตรเดียวจบ ครบทุกความต้องการเรื่องเงินสด" ซึ่งคนที่จะสมัครสินเชื่อบัญชีซิตี้ เรดดี้เครดิต นี้ได้ จะต้องมีคุณสมบัติ ดังนี้
- มีสัญชาติไทย อายุขั้นต่ำ 20 ปี
- มีรายได้อย่างน้อย 15,000 บาทขึ้นไป
สิทธิประโยชน์หลักของบัตรที่เด่นๆ คือ
- กดเงินฟรีไม่เสียค่าธรรมเนียมทุกตู้ ทุกธนาคาร ทั่วประเทศ และอีกกว่า 20,000 ตู้ซิตี้ใน 42 ประเทศทั่วโลก
- โทรสั่งเงินได้ 24 ชั่วโมง และเงินจะถูกโอนเข้าบัญชีภายใน 1 วัน หลังจากได้รับอนุมัติ เลือกจ่ายคืนขั้นต่ำ หรือจ่ายคืนเท่ากันทุกเดือน
- ผ่อนชำระสินค้า ดอกเบี้ย 0% ได้นานสูงสุด 24 เดือน (นานกว่าบัตรเครดิต) หรือเลือกผ่อนชำระแบบมีดอกเบี้ยได้ตั้งแต่ 4 - 48 เดือน
- วงเงินสูงถึง 5 เท่าของรายได้ต่อเดือน หรือสูงสุด 1,000,000 บาท
- ลูกค้าใหม่ สามารถกดเงินสดฟรี ดอกเบี้ย 0% 3 รอบบัญชีแรก (ยอดเงิน 50,000 บาท)
- ฟรีค่าธรรมเนียมในการเบิกถอนเงินสดผ่านเครื่องเอทีเอ็มทุกธนาคารทั่วประเทศและทั่วโลก
- ฟรีค่าธรรมเนียมรายปี
- ฟรีค่าธรรมเนียมในการโอนเงิน
โปรโมชั่นสมัครออนไลน์ ในการสมัครบัตรซิตี้ เรดดี้เครดิตเมื่อมียอดกดเงินสดผ่านบัญชีซิตี้ เรดดี้เครดิตครบ 5,000 บาท ภายใน 60 วันหลังได้รับอนุมัติบัญชีฯ หรือมีรายการแบ่งชำระผ่านระบบ Citi Paylite หรือ สมัครโปรแกรมเงินสดโทรสั่งได้อย่างน้อย 1 รายการ รับกระเป๋าเดินทาง Premium Trolley Bag ขนาด 20 นิ้ว มูลค่า 5,790 บาท
บัตรซิตี้ เรดดี้เครดิต เหมาะกับใคร? - คนที่ต้องการความคล่องตัวด้านการเงินตลอดเวลา
- ต้องการมีวงเงินสำรองไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน
- คนที่ชอบเดินทางต่างประเทศและไม่พกเงินสดมาก
- คนที่ชอบผ่อนชำระสินค้าดอกเบี้ย 0% นานกว่า 10 เดือน
2. สินเชื่อบัตรกดเงินสดยูโอบี แคชพลัส (Cash Plus) ธ.ยูโอบี
บัตรกดเงินสด ยูโอบี แคชพลัส พร้อมให้คุณมีเงินสดสำรองพร้อมใช้ตลอด 24 ชั่วโมง ที่ให้วงเงินสำรองสูงสุดถึง 1,000,000 บาท เพิ่มสภาพคล่องทางการเงิน พร้อมใช้ในทุกสถานการณ์ เหมือนมีเงินสดติดตัวตลอดเวลา สามารถเบิกถอนเงินสดได้ที่ตู้ ATM ทั่วไทยและทั่วโลก (ที่มีเครื่องหมาย Plus) โดยไม่เสียค่าธรรมเนียม
คุณสมบัติผู้สมัคร มีดังนี้
- บุคคลธรรมดาสัญชาติไทยอายุ 20 - 60 ปี
- รายได้ต่อเดือน 15,000 บาทขึ้นไป
- อายุงานตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไป
สิทธิประโยชน์ยูโอบี แคชพลัส - สมัครเพียงครั้งเดียว ใช้วงเงินได้ตลอดชีพ
- เบิกถอนเงินสดจากตู้ ATM ได้ทั่วโลก โดยไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียม
- ไม่ต้องใช้หลักทรัพย์ หรือบุคคลค้ำประกัน
- เลือกชำระคืนขั้นต่ำเพียง 500 บาท หรือ 5% ของยอดคงค้างชำระ
- คิดดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอก และคิดตามวันที่ใช้จริงเท่านั้น
3. บัตรกดเงินสดแคช คาร์ด (KK Cash Card) ธ.เกียรตินาคิน
บัตรกดเงินสด แคช คาร์ด เป็นเงินสดพร้อมใช้ กดฟรีทันใจทั่วโลก สมัครง่าย มอบความคุ้มครองประกันภัยอุบัติเหตุมูลค่า 100,000 บาท โดยคุณ
สมบัติผู้สมัคร คือ
- สัญชาติไทย อายุ 20 - 60 ปี
- มีรายได้ประจำรวมต่อเดือนตั้งแต่ 20,000 บาทขึ้นไป
- มีอายุงานตั้งแต่ 4 เดือนขึ้นไป
- ต้องมีหมายเลขโทรศัพท์ที่ติดต่อได้สะดวกทั้งที่บ้านและที่ทำงาน
สิทธิพิเศษในบัตรฯ - ไม่ต้องมีหลักทรัพย์ หรือบุคคลค้ำประกัน
- กดเงินสดได้ทุกที่ จากตู้เอทีเอ็ม ที่มีเครื่องหมาย ATM Pool
- จ่ายชำระค่าสินค้า/บริการ ได้ทุกร้านค้าที่มีเครื่องหมาย Union Pay
- สามารถชำระคืนขั้นต่ำเพียง 5% ของเงินต้นรวมดอกเบี้ยหรือไม่น้อยกว่า 500 บาท
- มีช่องทางจ่ายชำระคืนได้หลายช่องทาง
- มีประกันภัยอุบัติเหตุมูลค่า 100,000 บาท คุ้มครอง 1 ปี
- ฟรีค่าธรรมเนียมเบิกถอนเงินสดตลอดชีพ
4. บัตรกดเงินสด ทีเอ็มบี เรดดี้แคช (TMB Ready Cash) ธ.ทหารไทย
บัตรกดเงินสดทีเอ็มบี เรดดี้แคช ให้คุณพร้อมกับทุกสถานการณ์ ไม่ว่าจะเป็นรถเสีย คอมพิวเตอร์พัง เจ็บป่วยกระทันหัน หรือร้านค้าบางที่ไม่รับบัตรเครดิต จำเป็นต้องใช้เงินสด แต่มีเงินในกระเป๋าไม่พอ บัตรกดเงินสดนี้ก็จะเป็นเหมือนกระเป๋าตังค์อีกใบไว้ให้ใช้ในยามฉุกเฉิน กดได้ทันทีจากตู้ ATM กว่า 42,000 ตู้ทั่วประเทศที่มีเครื่องหมาย ATM POOL โดยไม่มีค่าธรรมเนียมการกดเงินสดใดๆ และ
คุณสมบัติของผู้สมัคร ได้แก่
- อายุอยู่ระหว่าง 20 - 59 ปี
- รับเงินเดือนผ่านการโอนเข้าบัญชี โดยมีรายได้ต่อเดือนตั้งแต่ 15,000 บาท
- ทำงานที่ปัจจุบันตั้งแต่ 4 เดือนขึ้นไป
สิทธิในบัตรกดเงินสดฯ - ได้รับวงเงินอนุมัติตั้งแต่ 30,000 - 1,000,000 บาท หรือไม่เกิน 5 เท่าของรายได้ประจำต่อเดือน
- สามารถชำระคืนเพียง 5% ของยอดหนี้ แต่ไม่ต่ำกว่า 1,000 บาทต่อรอบบัญชี
- ดอกเบี้ยคิดแบบลดต้นลดดอก และตามจำนวนวันที่ใช้จริง
5. บัตรกดเงินสดแฟลช พลัส (FLASH Plus) ธ.ธนชาต
บัตรกดเงินสด สินเชื่อบุคคลธนชาต FLASH Plus เป็นครั้งแรกและหนึ่งเดียวที่ให้เลือกพักการผ่อนได้ 1 เดือนใน 1 ปี เพื่อมอบสิทธิพิเศษนี้ให้กับลูกค้าที่ผ่อนชำระดีกับธนาคาร โดย
คุณสมบัติผู้สมัคร มีดังนี้
- อายุตั้งแต่ 20 - 60 ปี
- รายได้ประจำต่อเดือนตั้งแต่ 20,000 บาทขึ้นไป
- อายุงานไม่น้อยกว่า 1 ปี
- สัญชาติไทยเท่านั้น
- มีหมายเลขโทรศัพท์พื้นฐานและโทรศัพท์มือถือที่สามารถติดต่อได้
สิทธิพิเศษสำหรับลูกค้าสินเชื่อบุคคลธนชาต FLASH Plus (ตั้งแต่ 1 ก.พ. - 31 ก.ค. 61) - อัตราดอกเบี้ยพิเศษ สำหรับลูกค้าใหม่เมื่อสมัครและได้รับอนุมัติบัตรสินเชื่อบุคคลธนชาต FLASH Plus พร้อมสมัครใช้บริการโอนเงินผ่อนสบาย (Sabai Cash) โดยผู้สมัครต้องเป็นบุคคลที่ไม่เคยถือบัตรสินเชื่อบุคคลธนชาต FLASH Plus หรือ บัตรสินเชื่อบุคคลนครหลวงไทย หรือ กรณียกเลิกบัตรเดิมและสมัครบัตรใหม่ ต้องยกเลิกบัตรเดิมไม่น้อยกว่า 6 เดือนนับจากวันที่สมัครบัตรใหม่ รับอัตราดอกเบี้ยพิเศษ 0% นาน 3 รอบบัญชี สำหรับการเลือกงวดผ่อนชำระ 24, 36, 48, 60 งวด โดยอัตราดอกเบี้ยพิเศษนี้เริ่มนับจากวันที่โอนเงินเข้าบัญชี เป็นเวลา 3 รอบบัญชี และตั้งแต่รอบบัญชีที่ 4 เป็นต้นไปดอกเบี้ยจะถูกปรับเป็นอัตราดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอกที่ 20-26% ต่อปี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของธนาคาร สำหรับการเลือกงวดผ่อนชำระ 6 และ 12 งวด อัตราดอกเบี้ยจะถูกเรียกเก็บแบบลดต้นลดดอกที่ 20-26% ต่อปี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของธนาคาร
- รับของกำนัลพิเศษสำหรับลูกค้าใหม่ที่สมัครบัตรสินเชื่อบุคคล FLASH Plus และได้รับอนุมัติบัตร ภายในระยะเวลาส่งเสริมการขาย โดยผู้สมัครต้องเป็นบุคคลที่ไม่เคยถือบัตรสินเชื่อบุคคลธนชาต FLASH Plus หรือ บัตรสินเชื่อบุคคลนครหลวงไทย หรือ กรณียกเลิกบัตรเดิม และสมัครบัตรใหม่ต้องยกเลิกบัตรเดิมไม่น้อยกว่า 6 เดือนนับจากวันที่สมัครบัตรใหม่
- ต่อที่ 1 รับบัตรกำนัลเทสโก้โลตัส มูลค่า 100 บาท จำนวน 1 ใบ เมื่อมียอดเบิกถอนเงินสดจากช่องทาง ATM หรือ Cash Transfer ตั้งแต่ 5,000 บาทขึ้นไป ภายใน 30 วันนับจากวันที่ได้รับอนุมัติบัตร และมียอดคงค้าง ณ วันปิดรอบบัญชีไม่ต่ำกว่า 4,000 บาท ในแต่ละรอบภายในระยะเวลา 2 รอบบัญชี
- ต่อที่ 2 รับกระเป๋าล้อลาก Caggioni มูลค่า 4,990 บาท จำนวน 1 ใบ เมื่อมียอดเบิกถอนเงินสดจากช่องทาง ATM หรือ Cash Transfer ตั้งแต่ 20,000 บาทขึ้นไป ภายใน 60 วันนับจากวันที่ได้รับอนุมัติบัตร และมียอดคงค้าง ณ วันปิดรอบบัญชีไม่ต่ำกว่า 10,000 บาท ในแต่ละรอบภายในระยะเวลา 2 รอบบัญชี - อัตราดอกเบี้ยพิเศษ สำหรับลูกค้าที่สมัครใช้บริการโอนเงินผ่อนสบาย (Sabai Cash) ภายใน 30 วันนับจากวันที่ได้รับอนุมัติบัตร รับอัตราดอกเบี้ยพิเศษ 12.99% นาน 3 รอบบัญชี สำหรับการเลือกงวดผ่อนชำระ 24, 36, 48, 60 งวด โดยอัตราดอกเบี้ยพิเศษนี้เริ่มนับจากวันที่โอนเงินเข้าบัญชี เป็นเวลา 3 รอบบัญชี และตั้งแต่รอบบัญชีที่ 4 เป็นต้นไปดอกเบี้ยจะถูกปรับเป็นอัตราดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอกที่ 20-26% ต่อปี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของธนาคาร สำหรับการเลือกงวดผ่อนชำระ 6 และ 12 งวด อัตราดอกเบี้ยจะถูกเรียกเก็บแบบลดต้นลดดอกที่ 20-26% ต่อปี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของธนาคาร
- ธนาคารสงวนสิทธิ์ในการยกเลิกอัตราดอกเบี้ยพิเศษ หากลูกค้าผิดนัดชำระหนี้ หรือชำระน้อยกว่าขั้นต่ำที่ระบุในใบแจ้งหนี้ โดยธนาคารจะคำนวณอัตราดอกเบี้ยตามอัตราดอกเบี้ยปกติที่ลูกค้าได้รับในรอบบัญชีถัดไปโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า
- กรณีที่ลูกค้าสมัครใช้บริการโอนเงินผ่อนสบาย (Sabai Cash) และชำระหนี้ให้ธนาคารเสร็จสิ้นก่อนระยะเวลา 12 เดือนนับแต่วันที่ลูกค้าได้รับการโอนเงินเข้าบัญชี และกรณีที่ลูกค้าเลือกผ่อนชำระ 6 เดือน และ ชำระหนี้ให้ธนาคารเสร็จสิ้นก่อนระยะเวลา 6 เดือนนับแต่วันที่ลูกค้าได้รับการโอนเงินเข้าบัญชี ธนาคารสงวนสิทธิ์ในการปรับอัตราดอกเบี้ยจากอัตราเดิมที่ระบุไว้ในหนังสือแจ้งผลการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อ และ/หรือใบแจ้งยอดบัญชี เป็นอัตราดอกเบี้ยสูงสุดตามที่กฎหมายกำหนดที่ 28% ต่อปี โดยเริ่มคำนวณนับตั้งแต่วันที่ลูกค้าได้รับการโอนเงินเข้าบัญชีจนถึงวันที่ลูกค้าชำระหนี้คืนให้ธนาคารเสร็จสิ้น โดยลูกค้าจะต้องชำระส่วนต่างของดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นให้แก่ธนาคารก่อนวันครบกำหนด
สุดท้ายนี้ หลายคนคงเห็นถึงความจำเป็นของสินเชื่อส่วนบุคคลบ้างแล้วนะคะ ซึ่งก็มีทั้ง สินเชื่อบุคคลที่รับเงินไปทั้งก้อน
สินเชื่อบัตรกดเงินสด และสินเชื่ออเนกประสงค์ที่ต้องใช้หลักทรัพย์ค้ำประกัน โดยการใช้งานของสินเชื่อแต่ละประเภทก็แตกต่างกันออกไป ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับการใช้งานและสถานการณ์ทางการเงินของแต่ละคนว่าจำเป็นจะต้องใช้งานสินเชื่อแบบไหนถึงจะเหมาะกับเราที่สุด จำไว้นะคะว่า เราควรเลือกที่จะกู้สินเชื่อที่เหมาะกับเราที่สุด ไม่ใช่เลือกสินเชื่อที่ดีที่สุด เพราะเมื่อเราทำเรื่องขอกู้เงินแล้ว ภาระการใช้เงินจะเกิดขึ้นกับเราทันที และที่สำคัญ...อย่าเพลินกับการใช้วงเงินจากสินเชื่อที่เราขอกู้มาจนเป็นเหตุทำให้เราต้องตกอยู่ในภาวะการเป็นหนี้แบบไม่รู้จบนะคะ