ไขคำตอบ: "บัตรเครดิตหาย" ทำยังไงดี? ต้องรับผิดชอบหนี้แค่ไหน?
คงไม่มีใครอยากให้เหตุการณ์บัตรเครดิตหาย! เกิดขึ้นกับตัวเองเป็นแน่ เพราะคุณสมบัติของบัตรเครดิตที่สามารถใช้รูดจ่ายค่าสินค้า/บริการ ใช้ซื้อสินค้าออนไลน์ และยังใช้กดเงินสดในยามฉุกเฉินได้อีก ทำให้ผู้ถือบัตรอย่างเราๆ ต้องระมัดระวัง และเก็บรักษาบัตรไว้อย่างดีไม่แพ้กับเงินสด แต่หากวันหนึ่ง...บัตรเครดิตของเราหายขึ้นมาจะต้องทำอย่างไร? แล้วถ้าบัตรฯ ถูกขโมย ถูกแอบอ้างนำไปใช้ เราต้องชดใช้ในหนี้นั้นหรือไม่? วันนี้
CheckRaka.com จะมาไขคำตอบให้ทราบกันค่ะ
6 ข้อควรปฏิบัติเมื่อบัตรเครดิตหาย
เมื่อประสบกับเหตุการณ์บัตรเครดิตหาย (หรือยังไม่แน่ใจว่าจะหายหรือไม่ แต่หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ) ก็อย่ามัวแต่ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก หรือนิ่งนอนใจเกินไปนะคะ เพราะเวลาเพียงไม่กี่นาทีอาจทำให้เราสูญเงินไปและกลายเป็นหนี้โดยไม่ได้ก่อได้ ทางที่ดีแล้ว
CheckRaka.com ขอแนะนำให้เพื่อนๆ รีบดำเนินการดังนี้โดยเร็วที่สุดจะดีกว่าค่ะ
1. ตรวจสอบให้แน่ใจว่าบัตรหาย
ลองตั้งสติและตรวจสอบให้แน่ใจอีกครั้งค่ะว่า บัตรนั้นหล่นอยู่ในซอกกระเป๋าใบที่ใช้ครั้งล่าสุดหรือไม่ หรือเราไปลืมวางไว้หรือย้ายบัตรเครดิตไปเก็บไว้บนโต๊ะหรือในลิ้นชักไหนหรือเปล่า
2. โทร.แจ้งอายัดบัตร
หากแน่ใจว่าบัตรเครดิตไม่อยู่กับเราแล้ว (หรือไม่มีวี่แววว่าจะหาเจอในเวลาอันใกล้) ก็ให้รีบโทร.ไปแจ้งอายัดบัตรเครดิตกับทางธนาคารหรือบริษัทผู้ออกบัตรโดยเร็วที่สุดนะคะ ซึ่งจะมีผลทำให้บัตรของเราถูกระงับการใช้ทันทีหรือหลังจากที่โทร.ไปไม่เกิน 5 นาที เพื่อป้องกันการแอบอ้างนำบัตรไปใช้และเราจะไม่ต้องรับผิด หลังจากที่ได้แจ้งระงับใช้งานแล้วด้วยค่ะ โดยเราสามารถโทร.แจ้งได้ตลอด 24 ชม. และเจ้าหน้าที่อาจสอบถามข้อมูลจากเจ้าของบัตร เช่น รหัสบัตร รายการล่าสุดที่ใช้ รวมทั้งวัน เวลา สถานที่ที่ทำบัตรหายด้วยค่ะ
โอกาสนี้ ทาง
CheckRaka.com ก็ได้รวบรวมเบอร์โทรศัพท์สำหรับแจ้งอายัดบัตรเครดิต
มาให้ด้วยนะคะ รวมถึงยังสามารถใช้โทร.แจ้งอายัดบัตรเดบิต (Debit Card) และบัตร ATM ได้ด้วยเช่นกันค่ะ 3. แจ้งความ
เมื่ออายัดบัตรฯ ทางโทรศัพท์แล้วก็ควรรีบไปแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อจะได้ลงบันทึกประจำวันไว้ ซึ่งสามารถใช้เป็นหลักฐานยืนยันได้ว่าบัตรเครดิตของเราได้หายไปจริง และเราไม่ได้เป็นผู้ใช้บัตรเครดิตใบนั้นหลังจากที่ได้แจ้งความไว้แล้วค่ะ หรือหากเป็นกรณีที่เราทราบว่าบัตรได้ถูกแอบอ้างนำไปใช้แล้ว ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจและทางธนาคารจะได้ประสานงานกันเพื่อจับตัวคนร้ายได้ทันท่วงทีค่ะ
4. ติดต่อขอทำบัตรใหม่
เราควรติดต่อไปยังเจ้าหน้าที่ธนาคารหรือบริษัทผู้ออกบัตรเครดิต เพื่อขอทำบัตรเครดิตใบใหม่ โดยควรเปลี่ยนรหัสส่วนตัวของบัตรใบใหม่ไม่ให้มีส่วนเกี่ยวข้องกับรหัสเดิม และควรปกปิดตัวเลข 3 หลักด้านหลังทันทีที่ได้รับบัตรมาด้วยนะคะ ทั้งนี้ก็เพื่อป้องกันมิจฉาชีพโจรกรรมข้อมูลบัตรแอบอ้างไปใช้นั่นเอง (แต่สำหรับใครที่ยังไม่ต้องการใช้บัตรเครดิตในทันที ก็อาจข้ามข้อนี้ไปก่อนก็ได้ค่ะ)
5. รวบรวมหลักฐานเพื่อแสดงตัวตน
สิ่งที่จะยืนยันว่าเราไม่ได้เป็นผู้ใช้บัตรเครดิตใบนั้นจริงๆ ได้แก่ พยาน หลักฐานจากกล้องวงจรปิดของร้านค้า/สถานที่ต่างๆ และหากใครเดินทางไปยังต่างประเทศก็อาจใช้ Passport ที่มีบันทึกวัน-เวลา การเข้า-ออกประเทศมายืนยันว่า ณ เวลานั้นเราอยู่ที่ไหน เราทำอะไร กับใคร เป็นต้น นอกจากนี้ บางคนอาจเคยทำสำเนาหรือถ่ายรูปลายเซ็นหลังบัตรเครดิตของตัวเองเอาไว้ ตรงนี้ก็สามารถใช้เป็นหลักฐานเปรียบเทียบได้ว่าลายเซ็นของเรากับผู้แอบอ้างใช้บัตรเครดิตนั้นเป็นคนละคนกัน ซึ่งเราอาจรวบรวมไว้ก่อนเบื้องต้น หากเกิดกรณีถูกแอบอ้างนำบัตรไปใช้ เราจะได้นำหลักฐานนี้ส่งให้เจ้าหน้าที่ได้อย่างรวดเร็วค่ะ
6. ตรวจสอบใบแจ้งหนี้
เราควรตรวจสอบใบแจ้งหนี้บัตรเครดิตเป็นประจำ เพื่อสรุปยอดการใช้จ่ายในแต่ละเดือน โดยเฉพาะในกรณีที่บัตรเครดิตหาย เจ้าของบัตรควรตรวจสอบให้ดีเป็นพิเศษว่ามีใครแอบอ้างนำบัตรเครดิตของเราไปใช้ ทำให้มียอดเงินเรียกเก็บเพิ่มนอกเหนือจากที่เราใช้ไปหรือไม่ หากมีก็ควรติดต่อกับธนาคารหรือสถาบันการเงิน กรอกแบบฟอร์มทักท้วงการใช้บัตรเครดิต ปฏิเสธการใช้ในยอดดังกล่าว พร้อมกับนำหลักฐานไปแสดงว่าเราไม่ได้เป็นผู้ใช้บัตรเครดิตรายการนั้น แล้วขอคำแนะนำเพื่อจัดการปัญหา "หนี้ที่ไม่ได้ก่อ" ที่เกิดขึ้นต่อไปค่ะ
มียอดหนี้บัตรเครดิตทั้งๆ ที่ไม่ใช้ ใครต้องรับผิดชอบ?
คงเป็นประเด็นที่คาใจไม่น้อยที่ว่า "บัตรหาย/บัตรถูกแอบอ้างไปใช้ แล้วยังต้องจ่ายหนี้ที่ไม่มีส่วนรู้เห็นอีกหรือ!!" ลองมาดูกันค่ะว่า เมื่อเจอกับสถานการณ์แบบนี้จะรับมืออย่างไร? และเราต้องชดใช้หนี้นั้นหรือไม่? โดยเราสามารถแบ่งประเภทหนี้บัตรเครดิตที่เกิดขึ้นจากมิจฉาชีพได้เป็น 3 กรณี ดังนี้ค่ะ
1. กรณีถูกขโมยบัตรเครดิต
ใครที่รู้ตัวเร็วว่าบัตรเครดิตถูกขโมยไปก็อาจโทร.แจ้งอายัดบัตรได้ทัน ทำให้เราไม่ต้องรับผิดชอบหนี้ใดๆ ที่เกิดขึ้นหลังจากแจ้งแล้วทันที (หรือภายในเวลา 5 นาทีตามเงื่อนไขที่กำหนด) แต่หากโชคร้ายถูกขโมยบัตรเครดิตไปแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว ก็เป็นโอกาสให้เหล่ามิจฉาชีพสวมรอยนำบัตรไปใช้ ซึ่งตรงนี้เราก็ต้องรีบแจ้งอายัดบัตรทันทีที่รู้ตัว แจ้งความ และหากมีรายการที่มิจฉาชีพนำบัตรไปใช้เกิดขึ้นแล้ว ก็ต้องกรอกแบบฟอร์มทักท้วงการใช้บัตรยื่นให้แก่เจ้าหน้าที่ธนาคาร/บริษัทผู้ออกบัตรฯ ด้วย จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจและทางธนาคาร/บริษัทผู้ออกบัตรฯ จะตรวจสอบและตามจับตัวคนร้ายมาดำเนินคดีต่อไป
หากตามจับตัวคนร้ายไม่ได้ และเราไม่สามารถไกล่เกลี่ยยอดหนี้ที่ธนาคาร/บริษัทผู้ออกบัตรฯ เรียกเก็บได้ ผู้ใช้บัตรเครดิตบางรายอาจถูกฟ้องร้องให้ต้องชำระหนี้ดังกล่าว ตรงนี้ก็อย่าเพิ่งตระหนกกันไปนะคะ ถ้าเรามีหลักฐานชัดเจนว่าเราไม่ได้ใช้บัตรเครดิตในรายการดังกล่าว เช่น มีหลักฐานจากกล้องวงจรปิดว่าเราไม่ได้เป็นผู้รูดบัตรในร้านค้าแห่งนั้น ช่วงเวลานั้นเราอยู่ต่างประเทศ หรือลายเซ็นในเซลล์สลิปไม่ตรงกับลายเซ็นหลังบัตรเครดิตที่เราเคยเซ็นไว้ ก็สามารถนำหลักฐานต่างๆ นี้ไปยื่นต่อศาลเพื่อพิสูจน์ว่าเราไม่ได้เป็นผู้ใช้บัตรจริงๆ และศาลอาจตัดสินให้เราไม่ต้องชดใช้ในหนี้นั้นได้ค่ะ
2. กรณีถูกคัดลอกข้อมูลบัตรเครดิต
เหล่ามิจฉาชีพสามารถคัดลอกข้อมูลบัตรเครดิตของเราได้ ทั้งจากเครื่อง Skimmer ที่ติดอยู่ตามตู้ ATM และเครื่อง Skimmer แบบพกพา รวมทั้งการแอบถ่ายข้อมูลตัวเลขหน้าและหลังบัตรเครดิต แล้วนำข้อมูลที่ได้ไปใช้ ซึ่งในกรณีนี้เจ้าของบัตรเครดิตจะไม่มีทางรู้ตัวก่อนเลย เพราะบัตรเครดิตนั้นจะยังอยู่กับตัว ไม่ได้หายไปไหน ดังนั้น ทันทีที่ทราบว่ามีคนแอบใช้บัตรเครดิตของเรา (หากสมัครบริการ SMS แจ้งเตือนการใช้จ่ายไว้ก็จะรู้ตัวได้เร็วกว่า) ก็ให้รีบโทร.แจ้งอายัดบัตรเครดิต พร้อมแจ้งให้ทางธนาคาร/บริษัทผู้ออกบัตรเครดิตทราบว่า บัตรเครดิตของเราถูกลักลอบนำไปใช้และขอให้รีบตรวจสอบโดยด่วน หลังจากนั้นเราก็ต้องแจ้งความ กรอกแบบฟอร์มทักท้วงการใช้บัตร แล้วให้เจ้าหน้าที่ตำรวจและบริษัทผู้ออกบัตรเครดิตตรวจสอบและตามจับตัวคนร้ายมาดำเนินคดีต่อไปเช่นเดียวกัน
หลังจากที่ได้ตรวจสอบแล้ว โดยส่วนใหญ่ผู้ใช้งานบัตรเครดิตอย่างเราก็จะไม่ต้องรับผิดชอบกับหนี้สินที่เกิดขึ้นค่ะ เพียงแต่ต้องรวบรวมหลักฐานให้ชัดเจน และปฏิบัติตามที่เจ้าหน้าที่ให้คำแนะนำแก่เรานะคะ
3. กรณีถูกปลอมแปลงเอกสารสมัครบัตรเครดิต
ทั้งๆ ที่ไม่เคยสมัครบัตรเครดิตดังกล่าว แต่ชื่อ-นามสกุล และที่อยู่ในใบแจ้งหนี้บัตรเครดิตที่ส่งมาถึงบ้าน กลับเป็นข้อมูลของเราทุกประการ ดังนี้เราควรรีบติดต่ออายัดบัตร แล้วไปแจ้งความทันที พร้อมนำเอกสารทั้งหมดที่ได้รับไปด้วย ซึ่งกรณีนี้เรามีหน้าที่ต้องยืนยันกับทางเจ้าหน้าที่ว่าเราไม่ใช่ผู้สมัครบัตรดังกล่าว รวมถึงพิสูจน์ว่าเอกสารการสมัครบัตรฯ นั้นเป็นเอกสารปลอม ลายเซ็นที่เซ็นไปนั้นไม่ใช่ของเรา และผู้ใช้บัตรตามรายการดังกล่าวก็เป็นคนละคนกับเราด้วยค่ะ
ส่วนใหญ่ผู้ที่ถูกปลอมแปลงเอกสารนั้นจะไม่ต้องรับผิดชอบในหนี้บัตรเครดิตที่เกิดขึ้น เพราะถือได้ว่าเป็นความประมาทของทางธนาคาร/บริษัทผู้ออกบัตรเครดิต ที่ไม่ตรวจสอบให้ดีก่อน และอนุมัติบัตรเครดิตไปให้แก่มิจฉาชีพรายนั้นค่ะ
แม้ว่าบัตรเครดิตจะช่วยอำนวยความสะดวก ให้การใช้จ่ายของเราง่ายขึ้นสักเพียงใด แต่ผู้ใช้บัตรเครดิตก็ควรมีความระมัดระวังและรอบคอบในการใช้บัตรเครดิตอยู่เสมอ เพื่อป้องกันภัยที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้บัตรฯ และทันทีที่รู้ตัวว่าบัตรเครดิตของเราถูกโจรกรรมไป (หรือมีความเสี่ยงต่อการถูกโจรกรรม) ก็ควรรีบโทร.แจ้งอายัดบัตร แจ้งความ และแจ้งให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องตรวจสอบโดยด่วน พร้อมทั้งขอคำปรึกษาเพื่อลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นได้ค่ะ