โครงการระยะยาวนี้ได้มอบเงินรางวัลให้กับสิ่งประดิษฐ์ 390 ชิ้นตลอดการจัดประกวดที่ผ่านมา โดยกว่า 70% ของผู้ชนะในระดับนานาชาติสามารถนำผลงานไปต่อยอดเชิงพาณิชย์ได้อย่างยอดเยี่ยม อย่างไรก็ตามโลกของเรายังต้องการไอเดียที่สามารถแก้ไขปัญหา มีพลังในการเปลี่ยนโลกทั้งด้านสิ่งแวดล้อมและการแพทย์ ตามความเชื่อของผู้ก่อตั้งมูลนิธิ James Dyson Foundation, Sir James Dyson ที่เชื่อว่าคำตอบและแรงขลับเคลื่อนไปสู่โลกที่ดีกว่าอยู่ในตัวของคนรุ่นใหม่
เซอร์ James Dyson, ผู้ก่อตั้งมูลนิธิ James Dyson กล่าวว่า "เรามองหาวิศวกรรุ่นใหม่ที่มีความุ่งมั่นในการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน สามารถคิดค้นสิ่งประดิษฐ์ที่ใช้พลังงานและวัสดุน้อยลง รวมถึงมุ่งมั่นในการเปลี่ยนโลกด้วยไอเดียของพวกเขา ผมเชื่อว่าคนรุ่นใหม่มีไอเดียที่สามารถเปลี่ยนแปลงโลกของเราไปในทางที่ดีขึ้นได้ และพวกเขาควรได้รับการสนับสนุน การประกวด James Dyson Award สามารถมอบพื้นที่ให้เค้าได้นำเสนอสิ่งประดิษฐ์จากไอเดียของพวกเขา และผมจะตั้งตารอผู้เข้ารอบการประกวดในปีนี้ ขอให้ทุกคนโชคดี!"
เซอร์ James Dyson เป็นผู้คัดเลือกผู้ชนะในระดับนานาชาติของทุกๆ ปีด้วยตัวเอง ผู้ที่จะได้รับเงินรางวัลและพื้นที่ประชาสัมพันธ์ผลงานระดับโลก ถือเป็นก้าวแรกที่มีบทบาทอย่างสูงในการนำสิ่งประดิษฐ์ไปต่อยอด
พื้นที่ประชาสัมพันธ์ผลงาน ผู้ชนะรางวัลในปีที่ผ่านๆ มาต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าโอกาสและพื้นที่การประชาสัมพันธ์ที่ได้จากการชนะรางวัล James Dyson Award เป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้สามารถต่อยอดและพัฒนาสิ่งประดิษฐ์ได้อย่างประสบความสำเร็จ
การสนับสนุนจากผู้ชนะในอดีต รางวัล James Dyson Award ได้เปิดตัวเครือข่ายผู้ชนะรางวัลในปีที่ผ่านๆ มาเพื่อช่วยสนับสนุนให้ผู้ชนะรุ่นใหม่ได้เรียนรู้จากผู้มีประสบการณ์ในการพัฒนาสิ่งประดิษฐ์เชิงพาณิชย์ ผ่านกิจกรรมอย่างงานสัมมนา โอกาสในการพบปะแลกเปลี่ยนข้อมูลกับผู้ชนะในปีที่ผ่านๆ มา รวมไปถึงโครงการให้คำปรึกษาโดยผู้ชนะในอดีต
โดยในแต่ละประเทศที่จัดการประกวดจะมอบรางวัลชนะเลิศในระดับประเทศ 1 รางวัล (เงินรางวัล 222,000 บาท) และรางวัลรองชนะเลิศ 2 รางวัล จากการคัดเลือกโดยคณะกรรมการจาก Dyson โดยเมื่อปีที่ผ่านมา รางวัล James Dyson Award เปิดตัวเป็นครั้งแรกในประเทศไทย และประเทศตุรกี และในปีนี้จะจัดการประกวดเป็นครั้งแรกในประเทศโปรตุเกส
ผู้ชนะรางวัลในระดับประเทศจะมีคุณสมบัติในการเข้าแข่งขันในระดับนานาชาติโดยอัตโนมัติ โดยเซอร์ James Dyson เป็นผู้คัดเลือกผู้ชนะรางวัลระดับนานาชาติด้วยตัวเอง
รางวัล James Dyson Award เป็นส่วนหนึ่งของความมุ่งมั่นอันยิ่งใหญ่ของเซอร์ James Dyson ที่พิสูจน์ให้เห็นถึงพลังของเหล่านักวิศวกรที่จะเปลี่ยนโลก โดยการประกวดนี้ได้ให้การสนับสนุนสิ่งประดิษฐ์กว่า 390 ชิ้นด้วยการให้เงินรางวัล และดำเนินการโดยมูลนิธิ James Dyson ที่เป็นองค์กรการกุศลที่ได้รับการสนับสนุนจาก Dyson
มูลนิธิ James Dyson ก่อตั้งเมื่อปี 2002 เพื่อสนับสนุนงานออกแบบ เทคโนโลยี และผลงานวิชาการด้านวิศวกรรมในสหราชอาณาจักร และระดับนานาชาติใน สหรัฐอเมริกา สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ และมาเลเซีย ในปัจจุบันเซอร์ James Dyson และมูลนิธิ James Dyson ได้บริจาคเงินจำนวนกว่า 140 ล้านปอนด์เพื่อการกุศล รวมถึง 12 ล้านปอนด์ให้กับ Imperial College London เพื่อก่อตั้ง Dyson School of Design Engineering และเงินจำนวน 8 ล้านปอนด์ ให้แก่ Cambridge University เพื่อก่อตั้ง Dyson Centre for Engineering Design และตึก James Dyson และอีก 1 ล้านเหรียญสิงค์โปร ให้แก่ Singapore University of Technology and Design เพื่อสร้าง Dyson-SUTD studios ที่เปิดตัวไปเมื่อเดือนธันวาคม โดยเป็นพื้นที่ให้กับนักเรียนนักศึกษาในการทำงานในสภาพแวดล้อมสหสาขาวิชาชีพ ที่จะได้รับคำปรึกษาจากวิศวกรของ Dyson รวมไปถึงพื้นที่ในท้องถิ่นสำหรับโรงเรียนเพื่อนการมีส่วนร่วมในการอบรมเชิงปฏิบัติการทางด้านวิศวกรรม
ในระดับโรงเรียน มูลนิธิ James Dyson ได้มีการเสนอให้ตัวต้นแบบในการอบรมเชิงปฏิบัติการ และจัดหาทรัพยากรทางการศึกษาให้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ซึ่งรวมถึงโซลูชันที่เพิ่งปล่อยล่าสุด คือ Engineering Solutions: Air Pollution เพื่อแนะนำให้คนรุ่นใหม่รู้จักกับมลพิษทางอากาศ และหน้าที่ของวิศวกรรมในการแก้ไขปัญหา
เครื่องจักรที่สามารถรีไซเคิลขวดพลาสติกให้เป็นเส้นใยพลาสติกสำหรับ 3D printer ในราคาที่จับต้องได้สำหรับประเทศกำลังพัฒนา คิดค้นโดยนักศึกษาจาก McMaster University
รางวัลชนะเลิศระดับนานาชาติ 2021 – HOPES (สิงคโปร์) เครื่องมือที่สามารถตรวจความดันของตาได้ที่บ้านโดยไม่สร้างความเจ็บปวด และเป็นการเปิดการเข้าถึงการตรวจโรคต้อหินในตาได้ โดยนักศึกษาจาก National University of Singapore
ผู้เข้าแข่งขันต้องกำลังศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัยที่เข้าร่วมการแข่งขัน James Dyson Award หรือจบการศึกษาเป็นระยะเวลาไม่เกิน 4 ปีในคณะวิศวกรรม หรือคณะด้านการออกแบบ
ในกรณีที่เข้าแข่งเป็นทีม สมาชิกในทีมทุกคนจะต้องศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัยที่เข้าร่วมแข่งขัน James Dyson Award หรือจบการศึกษาไม่เกิน 4 ปี โดยต้องมีสมาชิกอย่างน้อย 1 คนที่ศึกษาหรือจบการศึกษาไม่เกิน 4 ปีจากคณะวิศวกรรมหรือคณะด้านการออกแบบ