"พรินซิเพิล" ชี้สหรัฐฯ ฟื้นตัวแข็งแกร่ง เศรษฐกิจขยายตัว หนุนโอกาสลงทุน เปิดตัวกองทุน Principal US Equity Fund 8 - 15 ก.ย.นี้ ชูกองทุนหลัก iShares Russel 1000 ETF ลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ

ข่าว icon 6 ก.ย. 64 icon 316
"พรินซิเพิล" เปิดตัวกองทุน Principal US Equity Fund 8 - 15 ก.ย.นี้ ชูกองทุนหลัก iShares Russel 1000 ETF


บลจ. พรินซิเพิล ประเมินตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีโอกาสให้ผลตอบแทนโดดเด่นจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่เข้าสู่ระยะขยายตัวของ Mid-Cycle Phase ชูจุดเด่นเศรษฐกิจฟื้นตัวอย่างรวดเร็วและแข็งแกร่งจาก COVID-19 อีกทั้งยังมีนโยบายการลงทุนภาครัฐชุดใหญ่เป็นปัจจัยหนุนในระยะยาว พร้อมเปิดตัว 'กองทุนเปิด พรินซิเพิล ยูเอส อิควิตี้' หรือ Principal US Equity Fund (PRINCIPAL USEQ) เตรียมขายหน่วยลงทุนครั้งแรกวันที่ 8 - 15 กันยายนนี้ ชูนโยบายลงทุนใน iShares Russel 1000 ETF เป็นกองทุนหลักกองทุนเดียว เน้นการลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ แบบกระจายความเสี่ยงรายอุตสาหกรรม ผลงานเด่น 1 ปีย้อนหลัง (มิถุนายน 2564) 43% ต่อปี และ 3 ปีย้อนหลังที่ 19% ต่อปี (Benchmark : 1Y=43.07% ต่อปี  3Y=19.19% ต่อปี, Source FTSE Russell ข้อมูล ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2564
นายศุภกร ตุลยธัญ, CFA ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน พรินซิเพิล จำกัด เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกามีโอกาสสร้างผลตอบแทนการลงทุนที่ดีและเป็นโอกาสที่จะเข้าลงทุนในตอนนี้ เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ นั้นมีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกและเป็นตลาดหุ้นที่มี Market Cap สูงที่สุดในโลก ช่วงปีที่ผ่านมาสหรัฐฯ สามารถฟื้นตัวจากวิกฤติ Covid-19 ได้อย่างรวดเร็วและแข็งแกร่งทั้งภาคการผลิตและภาคการบริการที่มีการเติบโตในระดับสูงนำหน้าทั้งกลุ่มประเทศ Developed Markets และกลุ่มประเทศ Emerging Markets  อีกทั้งในระยะข้างหน้าประเมินว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเข้าสู่ระยะการขยายตัวของ Mid-Cycle Phase ซึ่งจะมีอัตราการเติบโตมากกว่า 3% สูงกว่า GDP ในระยะยาวของสหรัฐฯ และเอื้อต่อการขยายตัวของกำไรบริษัทจดทะเบียน
ขณะเดียวกันสหรัฐฯ สามารถแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของ COVID-19 ได้ดี โดยมีอัตราการฉีดวัคซีนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงที่ผ่านมา ปัจจุบันมีอัตราการฉีดวัคซีนสองเข็มมากกว่า 50% ของประชากร จึงสามารถผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ได้ และถึงแม้ว่าปัจจุบันจะมีอัตราการระบาดที่เพิ่มมากขึ้นจากไวรัสสายพันธุ์เดลต้า แต่ทางรัฐบาลสหรัฐฯ ก็ยืนยันว่าจะไม่มีการประกาศใช้มาตรการล็อกดาวน์อีกครั้ง ดังนั้นจึงคาดการณ์ว่าบริษัทเอกชนในสหรัฐฯ จะสามารถรักษาระดับการเติบโตของผลประกอบการ อีกทั้งจะสามารถสร้างผลกำไรที่เพิ่มขึ้นได้ในช่วงปี 2565 ถึง 2566 จากปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งและการปรับเพิ่มประมาณการกำไรอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา พบว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจที่ดีในระดับมากกว่า 6% ต่อปีทั้งสองไตรมาส โดยในระยะถัดไปคาดว่าจะมีปัจจัยบวกเพิ่มเติมจากการผ่านร่างนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจอีกกว่า 4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งประกอบด้วย ร่างนโยบายการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานก้อนใหม่มูลค่า 5.5 แสนล้านดอลลาร์ฯ และร่างนโยบายการลงทุนด้านสวัสดิการสังคมและ Climate Change ของประธานาธิบดีโจ ไบเดน มูลค่า 3.5 ล้านล้านดอลลาร์ฯ ซึ่งเราคาดว่าเม็ดเงินลงทุนสองก้อนนี้จะเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจและภาคเอกชนในอนาคต ขณะที่ข้อมูลในอดีตพบว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ได้รับผลกระทบค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นอื่นๆ ในช่วงที่สหรัฐฯ มีการทำ Tapering หรือการลดขนาด QE ครั้งแรกเมื่อปี 2556 และ 2557 โดยที่ผลกระทบต่อตลาดนั้นเป็นเพียงแค่การปรับฐานระยะสั้น และหลังจากนั้นตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องไปจนถึงช่วงที่เศรษฐกิจจีนฟองสบู่แตกในปี 2558 นับว่าเป็นการปรับขึ้นของตลาดหุ้นที่ยาวนานและมีเสถียรภาพ 
"เรามองว่าในตอนนี้เป็นโอกาสลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่นอกจากจะมีอัตราการเติบโตโดดเด่นสำหรับตลาดหุ้นประเทศพัฒนาแล้วยังมีความผันผวนต่ำกว่าหุ้นภูมิภาคอื่นท่ามกลางสภาวะการลด QE อีกทั้งยังมีนโยบายการลงทุนภาครัฐออกมาสนับสนุนต่อเนื่อง ถือว่าหาได้ยากในยุคที่หลายประเทศเริ่มมองถึงการถอนมาตรการช่วยเหลือ" นายศุภกร กล่าว
นายศุภกร กล่าวต่อว่า บลจ. พรินซิเพิล จึงเพิ่มทางเลือกแก่นักลงทุนที่สนใจลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยเปิดตัว กองทุนเปิด พรินซิเพิล ยูเอส อิควิตี้ หรือ Principal US Equity Fund (PRINCIPAL USEQ) มีทุนจดทะเบียน 3,000 ล้านบาท (Greenshoe 15%)  เตรียมเสนอขายหน่วยลงทุนครั้งแรก (IPO) ในวันที่ 8 – 15 กันยายน 2564 กำหนดสั่งซื้อขั้นต่ำ 1,000 บาท โดยเป็นกองทุนรวมหน่วยลงทุนประเภท Feeder Fund ที่มีนโยบายลงทุนในกองทุนรวมต่างประเทศเพียงกองทุนเดียวคือ iShares Russel 1000 ETF เป็นกองทุนหลัก ซึ่งหากย้อนดูในอดีตนับจากปี 2550 – 2563 ดัชนี Russell 1000 ให้ผลตอบแทนเป็นบวก และให้ผลตอบแทนแบบทบต้นต่อปีที่มีความโดดเด่น โดยให้ผลตอบแทน 1 ปี 43% 3 ปี 19% ต่อปี 5 ปี 18% ต่อปี และ 10 ปี 15% ต่อปี (ผลตอบแทนของดัชนีเทียบวัด : 1Y=43.07% ต่อปี  3Y=19.19% ต่อปี  5Y=17.99% ต่อปี และ 10Y=14.90% ต่อปี, Source FTSE Russell ข้อมูล ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2564)
สำหรับกองทุน iShares Russel 1000 ETF จัดตั้งในเดือนพฤษภาคม 2543 โดย iShares เป็น ETFs ที่มีมูลค่าสินทรัพย์การบริหารจัดการสูงสุดในโลก บริหารจัดการโดย BlackRock บริษัทจัดการด้านการลงทุนข้ามชาติชั้นนำสัญชาติอเมริกัน ที่ก่อตั้งในปี 2531 โดย ณ เดือนมกราคม 2564 มีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการสูงสุดในโลก มูลค่า 8.67 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ กองทุนดังกล่าวเข้าลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ทั้ง CBOE, NYSE, NYSE American,NASDAQ และ ARCA จัดน้ำหนักการลงทุนตาม Market Cap เพื่อให้ได้หุ้น 1,000 ตัวแรก พร้อมทั้งปรับสัดส่วนเป็นรายปีและ 6 เดือน และนำหุ้น IPO เข้าพอร์ตทุกเดือนที่ 3 9 และ 12 ปัจจุบันมีการกระจายการลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ ทุกกลุ่มอุตสาหกรรม ทั้งหุ้นขนาดกลางและขนาดใหญ่ โดยที่กลุ่มอุตสาหกรรม 5 อันดับแรกที่กองทุนหลักมีการลงทุน ณ วันที่ 27 สิงหาคม 2564 คือ Information Technology 28.05%, Health Care 13.20%, Consumer Discretionary 11.86%, Financials 11.52% และ Communication 10.73% โดยหุ้น 10 อันดับแรกที่กองทุนหลักมีการลงทุน ได้แก่ APPLE, MICROSOFT, AMAZON, FACEBOOK, ALPHABET INC CLASS A, ALPHABET INC CLASS C, TESLA, BERKSHIRE, NVIDIA และ JPMORGAN (Source: Blackrock)
ทั้งนี้ กองทุนเปิด PRINCIPAL USEQ สั่งซื้อขั้นต่ำ 1,000 บาท ผู้ที่สนใจสามารถติดต่อขอรับหนังสือชี้ชวนหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย ตัวแทนสนับสนุนการขายและรับซื้อคืน และบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน พรินซิเพิล จำกัด โทร. 02 686 9595 หรือ www.principal.th หรือ Principal TH Mobile App

แท็กที่เกี่ยวข้อง

ผลตอบแทน พรินซิเพิล กองทุน principal us equity fund กองทุนหลัก ishares russel 1000 etf

ข่าวและอีเว้นท์เศรษฐกิจล่าสุด



เว็บไซต์นี้มีการเก็บคุกกี้เพื่อเพิ่มความพึงพอใจในการใช้งานเว็บไซต์ และช่วยให้เราปรับปรุง และนำเสนอเนื้อหาตรงตามความสนใจของท่าน ท่านสามารถดู Privacy Notice และ ดู Cookies Policy ของเราได้ ที่นี่ ทั้งนี้ ท่านจะยินยอมให้เราเก็บคุกกี้ทั้งหมด หรือให้เก็บแค่บางส่วนโดยการคลิกเลือก ตั้งค่า

ท่านสามารถเลือกให้ความยินยอมการเก็บคุกกี้เป็นเรื่องๆ ได้ที่นี่

เมื่อคุณเข้าชมเว็บไซต์ หรือแอปพลิเคชั่น checkraka เราอาจจัดเก็บ หรือดึงข้อมูลจากเบราว์เซอร์ของคุณในรูปแบบของคุกกี้ และเทคโนโลยีอื่นที่คล้ายคลึง เช่น tag และ pixel (เรียกรวมกันว่า “คุกกี้”) ซึ่งมักเป็นข้อมูลที่ไม่สามารถระบุตัวตนได้โดยตรง แต่ช่วยให้คุณใช้งานเว็บไซต์ได้ปลอดภัย และตรงตามความต้องการมากขึ้น คุณอาจไม่ยินยอมให้เราเก็บคุกกี้บางประเภทได้ โดยการคลิกตามหัวข้อข้างล่างนี้

ประเภทคุกกี้
อ่านเพิ่มเติม ที่นี่
ยินยอม / ไม่ยินยอม
คุกกี้ที่จำเป็นต้องมีเสมอ
(Strictly Necessary)
คุกกี้สำหรับการใช้งานเว็บไซต์
(Functionality)
คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและวิเคราะห์
(Performance & Analytics)
คุกกี้เพื่อการตลาด
(Marketing)