ถ้าหากอยากได้บ้านหรือคอนโดเป็นของตัวเอง แต่ว่ามีรายได้ไม่สูงมากหรือมีภาระค่าใช้จ่ายอย่างอื่นที่ต้องผ่อนชำระ เช่น ผ่อนรถอยู่ หรือผ่อนคอนโดอีกหลังอยู่ "การกู้ร่วม" ก็เป็นวิธีหนึ่งที่จะทำให้การยื่นขอกู้ผ่านได้ง่ายขึ้น แต่รายละเอียดการกู้ร่วมนั้นยุ่งยากหรือไม่? มีข้อกำหนดอะไรบ้าง CheckRaka.com มี 10 เรื่องที่ต้องรู้ก่อนเซ็นสัญญาเป็น "ผู้กู้ร่วม" มาฝากกันค่ะ
1. ประโยชน์ของการกู้ร่วม
การกู้ร่วมมีประโยชน์สำหรับผู้ที่กำลังจะทำเรื่องกู้สินเชื่อซื้อบ้านหรือคอนโดผ่านธนาคารค่ะ ถ้าหากว่าตัวผู้กูเองนั้นมีรายได้ที่ไม่เพียงพอต่อการผ่อนชำระในยอดที่กู้ หรือมีภาระค่าใช้จ่ายอย่างอื่นอยู่ หากยังต้องการซื้อบ้านหรือคอนโดและเพื่อให้กู้ผ่านจึงจะต้องนำผู้อื่นมากู้ร่วมด้วย ซึ่งเมื่อนับรายได้รวมกันจะทำให้ตัวเลขรายได้สูงขึ้น ซึ่งเป็นหนึ่งในประเด็นสำคัญในการให้สินเชื่อ ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องขึ้นอยู่กับผู้กู้ร่วมด้วยนะคะว่ามีกำลังในการผ่อนชำระเพียงพอตามที่ธนาคารกำหนดไว้หรือไม่
2. ใครเป็นคนกู้ร่วมได้บ้าง?
โดยปกติแล้วผู้กู้ร่วมจะต้องมีสายโลหิตเดียวกันหรือมีความสัมพันธ์ทางเครือญาติ ดังนี้
- เป็นผู้ที่มีนามสกุลเดียวกัน อาจเป็นสามี-ภรรยากัน เป็นพี่น้องกัน เป็นพ่อแม่กับลูก หรือเป็นญาติกันที่มีนามสกุลเดียวกัน
- เป็นพี่น้องท้องเดียวกันแต่คนละนามสกุลก็สามารถกู้ร่วมกันได้ แต่ต้องแสดงทะเบียนบ้านหรือสูติบัตรระบุว่ามีพ่อแม่คนเดียวกัน
- เป็นแฟนกันโดยที่ไม่ได้แต่งงาน เป็นพี่น้องร่วมสาบาน นับถือกันเป็นญาติพี่น้องไม่สามารถกู้ร่วมกันได้ค่ะ
แต่ในปัจจุบันการกู้ร่วมนั้นได้เปิดให้
คู่รักเพศเดียวกันกู้ด้วยกันได้แล้ว ถือเป็นก้าวที่สำคัญมากๆ สำหรับการให้ความเท่าเทียมในเรื่องของการดำเนินเอกสารทางด้านการเงิน ซึ่งมีธนาคารไหนให้กู้บ้างเช็คได้ที่บทความ >>
รวมมาให้แล้ว 5 ธนาคารที่คู่รัก LGBTQ+ สามารถกู้ร่วมด้วยกันได้
3. ถ้าคนกู้ร่วมเป็นสามีหรือภรรยา ต้องจดทะเบียนสมรสกันไหม?
โดยปกติแล้วการกู้ร่วมไม่ได้บังคับให้จดทะเบียนสมรสกันจึงจะสามารถกู้ร่วมกันได้ แต่ผู้ที่เป็นสามี-ภรรยากัน และจดทะเบียนสมรสกันเรียบร้อยแล้วสามารถกู้ร่วมกันได้ไม่มีปัญหาค่ะ แต่ถ้าหากไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน จะต้องแสดงหลักฐานการเป็นสามี-ภรรยากันด้วย เช่น ภาพถ่ายงานแต่งงาน การ์ดแต่งงาน หนังสือรับรองบุตร หรือมีบุตรร่วมกัน เป็นต้น
4. กู้ร่วมต่างจากค้ำประกันยังไง?
การกู้ร่วม
- ผู้กู้ร่วมเป็นลูกหนี้ร่วมชั้นต้นเท่าๆ กัน
- ธนาคารคิดรายได้ของผู้กู้ร่วมมาประเมิน
- ธนาคารเรียกให้คนใดคนหนึ่งชำระก่อนก็ได้
การค้ำประกัน
- ผู้กู้เป็นลูกหนี้ชั้นต้น ผู้ค้ำประกันเป็นลูกหนี้ชั้นรอง
- ธนาคารไม่นำรายได้ของผู้ค้ำประกันมาประเมิน
- ธนาคารเรียกให้ผู้กู้ชำระก่อน ถ้าผู้กู้ไม่ชำระ ถึงเรียกร้องกับผู้ค้ำประกันต่อไป
5. ใครต้องรับผิดชอบค่าธรรมเนียมบ้าง? เช่น ค่าจดจำนอง
ผู้ที่มีชื่อในการกู้ร่วมกันต้องรับผิดชอบในค่าใช้จ่ายต่างๆ ร่วมกันและเท่าๆ กัน เพราะถือว่าเป็นลูกหนี้ร่วมกันค่ะ ซึ่งรายละเอียดค่าธรรมเนียมต่างๆ มีดังนี้
ผู้ถือกรรมสิทธิ์ต้องจ่ายให้กับกรมที่ดิน
- ค่าธรรมเนียมโอนกรรมสิทธิ์ 2% ของราคาประเมินกรมที่ดิน
- ค่าจดจำนอง 1% ของวงเงินกู้
ผู้ถือกรรมสิทธิ์ต้องจ่ายให้กับธนาคาร
- ค่าธรรมเนียมในการประเมินหลักทรัพย์ โดยทั่วไปจะอยู่ที่ประมาณ 2,000 - 6,000 บาท
- ค่าประกันอัคคีภัยประมาณ 0.35% ของมูลค่าสิ่งปลูกสร้างที่บริษัทประกันภัยรับประกัน
- ค่าอากรแสตมป์ 0.05% ของวงเงินกู้ ธนาคารจะเรียกเก็บจากผู้กู้ เพื่อนำไปชำระให้กับกรมสรรพากร
6. ความรับผิดของคนกู้ร่วมต่อธนาคารคืออะไร?
ผู้ที่กู้ร่วมกันหมายถึงการเป็นหนี้กันคนละครึ่ง ในทางกฎหมายลูกหนี้ร่วมจะต้องรับผิดชอบหนี้เป็นส่วนเท่าๆ กัน เช่น กู้มา 1 ล้านบาท เท่ากับเป็นหนี้คนละ 5 แสนบาท ดังนั้นความรับผิดชอบของผู้ที่กู้ต่อธนาคารคือการชำระหนี้ให้ตรงและไม่ให้ขาด และต้องยอมรับในภาระหนี้ในกรณีที่ผู้กู้อีกคนไม่สามารถชำระหนี้ได้ เช่น กู้มา 1 ล้านบาท ผู้กู้คนแรกไม่จ่าย ธนาคารจะเรียกจากผู้กู้ร่วมคนใดคนหนึ่งก็ได้คนละ 1 ล้านบาท หรือรวมกัน 1 ล้านบาท และหากคนใดคนหนึ่งจ่ายให้ธนาคารไปแล้ว 1 ล้านบาท ก็ไปเรียกคืน 5 แสนจากอีกคนทีหลัง นี่คือเหตุผลว่าเพราะเหตุใดการกู้ร่วมจึงควรเป็นญาติพี่น้อง หรือสามีภรรยากัน เพราะต้องช่วยกันผ่อนชำระไปจนภาระหนี้จะหมดค่ะ
7. ความรับผิดระหว่างคนกู้ด้วยกันเองคืออะไร?
ความรับผิดชอบของผู้กู้ร่วมแต่ละคนจะเป็นจำนวนเท่ากัน เช่น กู้ธนาคารร่วมกัน 2 คน เป็นจำนวนเงิน 2 ล้านบาท ระหว่างผู้กู้ร่วมกันเองจะต้องรับผิดชอบกันคนละ 1 ล้านบาท ถ้าคนใดคนหนึ่งจ่ายไปเต็ม 2 ล้านบาท ก็สามารถไปเรียกจากอีกคนได้ครึ่งหนึ่ง (คือ 1 ล้านบาท)
8. การขอถอนชื่อออกจากการเป็นผู้กู้ร่วมทำได้หรือไม่?
สามารถทำได้ค่ะ ขั้นตอนแรกธนาคารจะพิจารณาว่าผู้กู้ที่เหลืออยู่นั้นมีความสามารถในการผ่อนชำระหรือไม่ ถ้าหากว่าผ่อนมาหลายปีจนใกล้จะหมดแล้วการ
ขอถอนชื่อนั้นก็ต้องตกลงกันก่อนว่าจะให้กรรมสิทธิ์ตกเป็นของผู้ที่ผ่อนชำระเพียงคนเดียวหรือไม่ แต่ถ้าหากเพิ่งเริ่มต้นผ่อนกันไปไม่กี่ปี ยังเหลือวงเงินที่ต้องผ่อนชำระอีกเยอะ และผู้กู้หลักมีรายได้ที่ไม่เพียงพอต่อการผ่อนชำระ ก็จำเป็นต้องหาผู้กู้ร่วมคนอื่นมาแทน ซึ่งก็จะต้องผ่านการพิจารณาจากธนาคารว่ามีความสามารถในการผ่อนชำระ ถ้าหากไม่ผ่าน ธนาคารมีสิทธิ์ไม่อนุญาตให้เปลี่ยนชื่อได้
9. เมื่อผ่อนหมดแล้วกรรมสิทธิ์บ้านเป็นของใคร?
ถ้าหากว่าเรากู้คนเดียว เมื่อผ่อนชำระสินเชื่อบ้านหมด กรรมสิทธิ์ก็จะเป็นของผู้กู้ก็คือเราคนเดียว แต่ถ้าหากเป็นการกู้ร่วมจะมี 2 แบบค่ะ
- ใส่ชื่อคนเดียวเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ แต่เวลาที่กู้นั้นมีอีกคนหรือหลายคนมากู้ร่วม
- ใส่ชื่อผู้กู้ร่วมทุกคนเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมกัน
โดยส่วนมากนั้นจะเป็นแบบข้อที่ 2 ก็คือผู้กู้ทุกคนมีกรรมสิทธิ์ในบ้านหรืออสังหาฯ นั้นร่วมกัน แต่ถ้าหากว่าวันหนึ่งต้องการที่จะขายบ้านหรือคอนโดนั้นๆ จะทำได้ก็ต่อเมื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์ "ทุกคน" ยินยอมด้วยเช่นกัน
10. ผู้กู้ร่วมเสียชีวิตทำยังไง?
ถ้าหากผู้ที่กู้ร่วมกับเราเสียชีวิต อย่างแรกที่เราต้องทำก็คือแจ้งให้ธนาคารทราบค่ะ เพราะถ้าหากเราไม่แจ้ง สัญญากู้จะยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง หลังจากนั้นก็จะมีแนวทาง 3 ทาง ดังนี้
- เมื่อเราแจ้งเรียบร้อยแล้ว ธนาคารก็จะเรียกให้ทายาทหรือผู้จัดการมรดกของผู้เสียชีวิตเข้ามาลงชื่อเพื่อแสดงเจตนาที่จะรับสภาพหนี้ภายใน 1 ปี หลังจากนี้ก็เป็นหน้าที่ของทายาทที่จะรับช่วงต่อการผ่อนชำระต่อไป อย่างไรก็ตามทายาทนั้นต้องเป็นผู้บรรลุนิติภาวะแล้ว และจะต้องผ่านการประเมินจากทางธนาคารว่ามีความสามารถในการชำระหนี้ได้ในฐานะผู้กู้ร่วม ในส่วนของกรรมสิทธิ์ เมื่อทายาทเข้ามารับสภาพหนี้หรือมาผ่อนต่อแล้ว กรรมสิทธิ์นั้นก็จะตกทอดไปสู่ทายาท
- ถ้าหากทายาทของผู้เสียชีวิตยังไม่บรรลุนิติภาวะ ผู้กู้ร่วมสามารถหาผู้กู้ร่วมรายใหม่มาช่วยผ่อนสินเชื่อบ้านต่อได้ค่ะ แต่ว่าจะต้องมีความสัมพันธ์ทางเครือญาติกัน เมื่อแจ้งความประสงค์กับธนาคารแล้ว ก็จะมีการประเมินความสามารถในการผ่อนชำระต่อไป
- สุดท้ายถ้าผู้กู้ร่วมอีกฝ่ายมีความสามารถและยินยอมที่จะผ่อนชำระสินเชื่อในส่วนของตนเองและส่วนของผู้กู้ร่วมที่เสียชีวิตด้วย ก็สามารถทำได้แต่กรรมสิทธิ์ครึ่งหนึ่งก็ยังคงเป็นของทายาทของผู้เสียชีวิตค่ะ
สำหรับคู่รักที่เตรียมขยับขยาย มองหาเรือนหอเพื่ออยู่ร่วมกัน แสนสิริ ‘มีเช็คลิสต์ 6 ข้อ ในการเลือกซื้อบ้านหรือคอนโดให้ถูกใจทั้งคู่’ มาแนะนำ ต้องเลือกอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจกู้ร่วมนะคะ รายละเอียดเพิ่มเติม คลิก
http://bit.ly/3TuIFhx หากสนใจเรื่องบ้าน คอนโด ทาวน์โฮม แต่ไม่รู้จะเริ่มอย่างไร? ไปต่อไม่ถูก ..เราขอแนะนำแหล่งบทความจากแสนสิริ ที่เปรียบเสมือนคู่มือสำหรับคนซื้อบ้านและลงทุนอสังหาฯ รวบรวมเรื่องต้องรู้ เคล็ดลับดีๆ ไอเดียต่างๆ ไว้ในที่เดียว คลิก
http://bit.ly/3hrYt7b