แนะนําทางออกสําหรับคนมีหนี้และมีบ้าน อยากปลดหนี้ตัวเองด้วยสินเชื่อลดภาระหนี้ (ตอนที่ 1)
ทําไมต้องลดภาระหนี้?
ปัจจุบันคนไทยส่วนหนึ่งมีภาระหนี้สินมากกว่ารายได้ที่หามาได้ เกิดปัญหาหมุนเงินไม่ทัน ต้องกู้จากที่หนึ่งมาโปะอีกที่หนึ่งแบบเอาตัวรอดไปก่อนจากทั้งในและนอกระบบสถาบันการเงิน จนในที่สุดหมุนไม่ทัน เพราะการกู้มาแบบด่วนมักจะมีอัตราดอกเบี้ยที่แพงทําให้เงินต้นไม่ลดลงซักที จะกู้ที่ไหนเพิ่มก็กู้ไม่ได้อีกแล้วเนื่องจากภาระหนี้มีมากเหลือเกิน
แต่ถ้าคุณมีวินัยทางการเงินดี หมายถึง มีหนี้มากแค่ไหนก็ยังสามารถผ่อนชําระได้ตรงตามกําหนดถึงแม้ว่าจะเป็นการผ่อนชําระขั้นตํ่าก็ตาม คุณก็สามารถนําบ้านปลอดภาระที่มีอยู่มาขอสินเชื่อลดภาระหนี้กับธนาคารผ่านทางรีฟินน์ได้ โดยธนาคารจะนําเงินกู้ที่อนุมัติให้คุณไปชําระหนี้สินที่คุณมีอยู่กับสถาบันการเงินต่างๆ แล้วมาผ่อนกับธนาคารแห่งเดียวด้วยระยะเวลาที่ยาวขึ้นและอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงก็สามารถช่วยให้ภาระการผ่อนชําระหนี้สินต่อเดือนเบาบางลง คุณก็จะมีชีวิตที่สุขสบายยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม คุณไม่ควรไปก่อหนี้เพิ่มขึ้นอีกเพราะนั่นเท่ากับว่าคุณจะกลับเข้าสู่วงจรภาระหนี้สินล้นพ้นตัวอีกครั้ง
สินเชื่อลดภาระหนี้ ต่างจากสินเชื่อบ้านแลกเงินทั่วไปอย่างไร?
สินเชื่อบ้านแลกเงินทั่วไปเป็นสินเชื่ออเนกประสงค์ ธนาคารที่อนุมัติสินเชื่อจะจ่ายเงินให้กับลูกค้าทั้งจํานวนซึ่งลูกค้าจะนําไปชําระหนี้ หรือนําไปใช้จ่ายอย่างไรก็ได้ ธนาคารจึงยังคงคิดภาระหนี้สินต่อเดือนเท่ากับหนี้ที่ปรากฏในเครดิตบูโร + หนี้จากสินเชื่อบ้านแลกเงินที่อนุมัติใหม่ ทําให้ลูกค้ามีสัดส่วนหนี้สินต่อรายได้เพิ่มขึ้น ยอดอนุมัติใหม่ก็จะน้อยลงหรือไม่สามารถกู้ได้
แต่สําหรับสินเชื่อลดภาระหนี้ เป็นการขอสินเชื่อเพื่อนําไปชําระหนี้บัตรเครดิต สินเชื่อบุคคล บัตรกดเงินสด หรือสินเชื่ออื่นๆ เมื่อธนาคารอนุมัติสินเชื่อลดภาระหนี้แล้ว จะจ่ายเงินให้กับสถาบันการเงินที่ลูกค้าเป็นหนี้อยู่โดยตรงจึงมั่นใจได้ว่าลูกค้าไม่มีหนี้ดังกล่าวอีกและไม่คิดภาระการผ่อนชําระในบัญชีที่ธนาคารชําระหนี้ให้ ส่งผลให้การคํานวณสัดส่วนหนี้สินต่อรายได้ของลูกค้าสะท้อนความเป็นจริงมากขึ้น และได้รับอนุมัติวงเงินที่สูงขึ้น
สินเชื่อลดภาระหนี้ สามารถลดหนี้บัตรเครดิต/บัตรสินเชื่อส่วนบุคคล (บัตรกดเงินสด)/ขายฝาก ได้อย่างไร?
สินเชื่อลดภาระหนี้เป็นสินเชื่อที่ใช้ที่อยู่อาศัยไม่ว่าจะเป็นบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์เฮ้าส์ ทาวน์โฮม อาคารพาณิชย์ หรือคอนโดมิเนียมเป็นหลักประกัน ธนาคารจะทําการตรวจสอบรายได้และภาระหนี้สินที่คุณมีอยู่ปัจจุบัน แล้วคํานวณว่าหากธนาคารอนุมัติวงเงินแล้ว จะสามารถไปชําระภาระหนี้ตัวไหนให้คุณได้บ้าง เพื่อลดยอดผ่อนชําระต่อเดือนให้กับคุณ ดังตัวอย่างต่อไปนี้
นาย ก. มีหนี้อยู่ 3 ประเภท ได้แก่
ประเภทสินเชื่อ | ยอดหนี้คงเหลือ | ยอดผ่อน/เดือน |
สินเชื่อบุคคล | 361,335 | 14,490 |
บัตรเครดิต | 555,760 | 5,000 |
สินเชื่อรถยนต์ | 308,889 | 6,700 |
รวม | 1,255,984 | 26,190 |
ปัจจุบัน นาย ก. มียอดหนี้คงเหลือรวม 1,225,984 บาท โดยมีภาระต้องผ่อนต่อเดือนรวม 26,190 บาท นาย ก. ต้องการลดภาระหนี้จึงนําบ้านที่ปลอดภาระมาขอสินเชื่อ ได้รับการอนุมัติสินเชื่อจํานวน 1,500,000 บาท ระยะเวลาผ่อน 20 ปี ค่างวดต่อเดือน 11,200 บาท โดยธนาคารจ่ายเช็คเป็นชื่อสถาบันการเงินเพื่อชําระยอดหนี้คงเหลือให้ทั้งหมดรวม 1,225,984 บาท ส่วนที่เหลือ 274,016 บาท จ่ายเป็นชื่อ นาย ก. เพื่อนําไปใช้อเนกประสงค์ กรณีนี้ นาย ก. ยอดหนี้ที่ต้องผ่อนต่อเดือนจะลดลง จาก 26,190 บาท เหลือเพียง 11,200 บาท เท่ากับว่ามียอดผ่อนต่อเดือนลดลงถึง 14,990 บาท
อัตราดอกเบี้ยของสินเชื่อลดภาระหนี้ที่แจ้งเป็นอัตราดอกเบี้ยคงที่ตลอดอายุสัญญาหรือไม่?
อัตราที่ใช้เป็นอัตราดอกเบี้ยที่อ้างอิงกับ MRR (Minimum Retail Rate) คืออัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารเรียกเก็บจากลูกค้ารายย่อยชั้นดี ตัวอย่างเช่น อัตราดอกเบี้ยสินเชื่อลดภาระหนี้เริ่มต้นที่ MRR – 3.60% (ปัจจุบัน MRR = 9.10%) เท่ากับ 5.50% หากธนาคารประกาศปรับ MRR อัตราดอกเบี้ยสินเชื่อลดภาระหนี้ก็จะปรับตาม
สําหรับการคํานวณค่างวดของสินเชื่อบ้านแลกเงินทั่วไปรวมทั้งสินเชื่อลดภาระหนี้ โดยปกติจะคํานวณโดยใช้อัตราดอกเบี้ยที่กําหนดในสัญญา แล้วบวก Buffer Rate (หมายถึง อัตราที่ธนาคารจะบวกเผื่อ กรณีที่อัตราดอกเบี้ยอ้างอิง ไม่ว่าจะเป็น MRR หรือ MLR ปรับขึ้น) อีกประมาณ 0.50 – 1.00% แล้วแต่นโยบายของแต่ละธนาคาร การที่ธนาคารต้องบวก Buffer Rate ในการคำนวณค่างวดต่อเดือน เพื่อเป็นประโยชน์ต่อลูกค้ากรณีที่มีการปรับอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงขึ้นลูกค้าจะไม่ต้องปรับค่างวดอีก ค่างวดส่วนเกินที่เกิดจากการบวก Buffer Rate จะถูกนําไปตัดชําระเงินต้น ทําให้เงินต้นของลูกค้าลดลงเร็วขึ้น และผ่อนชําระหมดเร็วขึ้นกว่าที่ระบุในสัญญา
ทําไมดอกเบี้ยสินเชื่อลดภาระหนี้ จึงแพงกว่า Refinance?
ในมุมมองของธนาคาร สินเชื่อ Refinance เป็นสินเชื่อที่มีวัตถุประสงค์เพื่อให้มีที่อยู่อาศัยซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยสี่ที่เจ้าของบ้านมักจะมีความหวงแหนในที่อยู่อาศัยนั้น จึงมีความเสี่ยงน้อยกว่าสินเชื่อลดภาระหนี้ซึ่งเป็นสินเชื่ออเนกประสงค์ที่ผู้กู้สามารถนําไปปลดภาระหนี้ และหากมีเงินเหลือก็สามารถนําไปใช้จ่ายส่วนบุคคลได้ซึ่งถือว่ามีความเสี่ยงในการรับชําระมากกว่า ดังนั้น อัตราดอกเบี้ยสินเชื่อลดภาระหนี้จึงแพงกว่า Refinance
ปัญหาของการมีหนี้บัตรเครดิตเป็นอย่างไร ถ้าจะเคลียร์หนี้โดยสินเชื่อลดภาระหนี้ต้องทําอย่างไร?
ปัญหาของการมีหนี้บัตรเครดิตแล้วไม่ชําระตามกําหนดเวลาคือ ดอกเบี้ยผิดนัดที่มีอัตราสูงมาก และสถาบันการเงินบางแห่ง หากมีการเบิกถอนเงินสดผ่านบัตรเครดิตจะมีการคิดค่าธรรมเนียมการใช้วงเงินแยกต่างหากอีกด้วย เมื่อไม่ชําระตามกําหนดของธนาคาร ดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมก็จะเพิ่มสูงขึ้นทุกๆ เดือน ทําให้เกิดภาระหนี้สินล้นพ้นตัวและประวัติการค้างชําระก็ยังปรากฏอยู่ในข้อมูลเครดิตบูโร ซึ่งมีผลต่อการขอสินเชื่อจากสถาบันการเงินต่าง ๆ อีกด้วย
"ขอขอบคุณข้อมูลบางส่วนจาก ธนาคารไทยเครดิต"
ถ้าต้องการเคลียร์หนี้ข้างต้น โดยสินเชื่อลดภาระหนี้ที่ใช้บ้านปลอดภาระเป็นหลักประกัน กรุณาติดต่อผ่าน Refinn โดยเข้าเว็บไซต์
www.refinn.com เพื่อกรอกข้อมูลเบื้องต้น สมัครฟรี โดยทาง Refinn ไม่มีเก็บค่าบริการจากลูกค้า และจัดหาธนาคารที่มีข้อเสนอที่ดีที่สุดสําหรับท่านในการลดภาระหนี้ ช่วงนี้มีข้อเสนอดอกเบี้ยสุดพิเศษสําหรับลูกค้า Refinn หรือโทรปรึกษาได้ที่ Call Center : 02-736-9645 ในวันจันทร์ - ศุกร์ เวลา 8.30 - 17.30 หรือ Line@ : @Refinn สําหรับในตอนที่ 2 ซึ่งเป็นตอนจบ จะพูดถึงวิธีการแก้ปัญหา / ประโยชน์ของสินเชื่อลดภาระหนี้ และหากจะกู้ต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง รวมถึง วิธีการพิจารณาเครดิตและถ้าอยากยื่นให้ผ่านการอนุมัติควรทําอย่างไร อย่าลืมติดตามกันนะครับ